“อภิสิทธิ์”เผยทีม เศรษฐกิจหารือแผนกระตุ้นเศรษฐกิจกรอบ 2-3 ปี ทำโครงสร้างพื้นฐาน เจรจากู้เงิน ตปท. 1.4 ล้านล้าน เผยตัวเลขรายได้ต่ำกว่าเป้าพุ่งสูง 1.5 แสนล้าน แต่ตัวเลขนักท่องเที่ยวติดลบน้อยลง
เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 17 มี.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล หลังเป็นประธานการประชุม ครม. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงการเรียกหารือ ครม.เศรษฐกิจในช่วงเช้าวันเดียวกันนี้ ( 17 มี.ค.) ว่า ที่มีการดูกันเป็นเรื่องแผนกระตุ้นเศรษฐกิจที่เป็นกรอบ 2-3 ปี หลังจากที่ทำรอบแรกแล้ว ก็จะมีเรื่องการที่จะไปเจรจากู้เงิน จากต่างประเทศก็กำลังดูในเรื่องการลงทุนลักษณะโครงสร้างพื้นฐานครอบคลุมกรอบ เวลา 2-3 ปี คือปีงบประมาณ 2554 ก็จะมีวงเงินใน 3 ปี ประมาณ 1.4 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นเงินที่จะลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ตกปีละประมาณ 5 แสนล้าน ขณะนี้กำลังดูในรายละเอียดอยู่ ก็จะมีทั้งโครงการในส่วนของคมนาคม แหล่งน้ำ โรงเรียน สาธารณสุข ที่อยู่อาศัย
“ทั้งนี้ โครงการต่างๆที่จะดำเนินการไม่ได้ทำในลักษณะของเม็กะโปรเจคซ์ แต่ถ้ารวมกันก็จะเป็นโครงการขนาดใหญ่ เช่นเดียวกับโรงเรียนหรือโรงพยาบาล ก็ไม่ใช่โครงการขนาดใหญ่แต่เป็นโครงการจำนวนมากที่กระจายตามพื้นที่ต่างๆ รวมแล้วก็เป็นวงเงินที่ค่อนข้างใหญ่ ” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
ผู้ สื่อข่าวถามว่าตัวเลขเงิน 1.4 ล้านล้านบาทเป็นตัวเลขในกรอบเดิมหรือตัวเลขใหม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เดิมยังไม่มี ส่วนนี้เป็นมาตรการที่นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี ทีได้ไปเดินสายพูดคุยกับเจ้ากระทรวงต่างๆที่เกี่ยวข้องกับแผนการลงทุนทั้ง กระทรวงคมนาคม กระทรวงเกษตรฯ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข
เมื่อถามว่าโครงการที่จะทำดังกล่าวจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจ ได้อย่างไรบ้าง นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เป็นกรอบที่จะใช้ในช่วง 2 ปีข้างหน้า ซึ่งก็จะเป็นการเพิ่มเงินลงทุนในภาวะซึ่งเราคาดการณ์ว่าการลงทุนจากต่าง ประเทศและเรื่องการส่งออกยังมีปัญหาอยู่ เมื่อถามว่ากรอบวงเงินงบประมาณในปี 2554 มีการกำหนดเป้าหมายไว้อย่างไรบ้าง นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขณะนี้ดู 3 ปี ก่อนจากนั้นก็จะมาซอยย่อยย้อนกลับมาเป็นแต่ละปี
เมื่อถามว่ามีการวิเคราะห์กันถึงปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจในสหรัฐด้วยหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวยอมรับว่า ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ต้องเร่งดูอย่างต่อเนื่องในกรอบ 2-3 ปี
ผู้สื่อข่าวถามว่าในส่วนของกระทรวงการคลังได้เสนอให้มีการขยายเพดานเงิน กู้ที่ จะมีการออกกฎหมายด้วยหรือไม่ นายกรัฐมนตรี จะเอาส่วนนี้เป็นตัวตั้งก่อนว่าความต้องการในการใช้เงินที่เราคิดว่าจะทำให้ เศรษฐกิจไปได้เท่าไหร่ หลังจากนั้นก็จะย้อนกลับมาดูประมาณการณ์ในเรื่องการขยายตัว เรื่องรายได้ที่เป็นภาษีอากรและดูกรอบของกฎหมายจากนั้นก็จะมาดูกันอีกครั้ง ว่าจะดำเนินการกันอย่างไร เมื่อถามว่าแต่ตอนนี้การจัดเก็บรายได้ต่ำกว่าเป้าครึ่งหนึ่งที่มีการประมาณ การไว้ จำเป็นจต้องออกกฎหมายหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า “รายได้ขณะนี้ซึ่งเดิมประมาณการว่าจะต่ำกว่าเป้าประมาณแสนล้าน ก็คิดว่าอาจจะวิ่งไปถึงแสนห้าหรือมากกว่าแสนห้า แต่ตรงนี้ยังดูตัวเลขการบริหารจัดการงบประมาณ และเงินคงคลังได้อยู่ แต่ที่ต้องดูต่อไปก็คืออีก 2 ปี ข้างหน้า ”
ต่อข้อถามว่าจำเป็นต้องหาเงินมาชดเชยหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ในการหรือเช้าวันเดียวกันนี้ก็ดูกรอบตรงนี้ และทำความเข้าใจตรงกันในทุกหน่วยงานซึ่งค่อนข้างจะมีการประเมินสถานการณ์ที่ ตรงกันไม่ว่าจะเป็นสภาพัฒน์ฯ สำนักงบประมาณ กระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย เมื่อถามว่จะพิจารณาความจำเป็นอย่างไรเกี่ยวกับแก้กฎหมายขยายเพดานเงินกู้ เพราะ อาจเป็นจุดอ่อนไหวได้ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ต้องยึดหลักโดยดูมาตรฐานสากลในเรื่องของหนี้สาธารณะและไม่น่าที่จะเป็น เปลี่ยนกติกาถาวร หมายความว่ากฎหมายวิธีการงบประมาณก็ไม่ควรจะไปแก้ซึ่งตอนนี้ก็กำลังพิจารณา อยู่ โดยจะเริ่มจากการเอาแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ 3 ปี เข้าครม.เศรษฐกิจในสัปดาห์หน้า
เมื่อถามว่าแผนกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่นี้จะมีการเพิ่มการจ้างงานได้มากน้อย เท่าไหร่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ยังไม่ได้ลงรายละเอียดไปถึงตัวเลข
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงกระแสข่าวที่รัฐบาลจะใช้เงินงบหลายร้อยล้านบาทในการฟื้นฟูภาพ ลักษณ์ประเทศ ว่า ตนยังไม่เห็นเรื่องดังกล่าว แต่สำหรับงบประมาณ 400 ล้านที่มีการพูดกันนั้นก็เป็นงบของเดิมที่มีอยู่ เป็นงบประมาณเพิ่มเติมซึ่งเป็นการดำเนินการร่วมกันในลักษณะบูรณาการทั้ง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงท่องเที่ยว กระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งไม่มีอะไรใหม่ตอนนี้ที่กำลังดูคือกรอบการลงทุนภาครัฐใน 3 ปีข้างหน้า
ผู้สื่อข่าวถามถึงการเชิญสื่อมวลชนอาชีพระดับโลกมาใช้งบประมาณส่วนนี้ ด้วยใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า มีคณะกรรมการที่นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานอยู่ แต่เราจะพยายามดึงในส่วนขงอนักลงทุนหรือนักธุรกิจที่เดินทางอยู่มาทางนี้ ก่อน
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่าจากการประเมินสถานเศรษฐกิจ ขณะนี้ทุกคนยังกังวลอยู่กับการฟื้นตัวของเศรษบกิจสหรัฐฯ เพราะฉะนั้นวิธีที่เราพยายามทำก็คือลองคำนวนดูว่าถ้าการค้าโลกลดลงไปเท่านี้ รายได้จากการส่งออกจะหายไปเท่าไหร่ และจะต้องมีเงินในลักษณะของการกระตุ้นเศรษฐกิจลงไปชดเชยเท่าไหร่ และควรทำในเรื่องอะไร
ส่วนการท่องเที่ยวตัวเลขล่าสุดของนักท่องเที่ยวต่างประทศดูจะดีขึ้นจาก เดิมที่จะติดลบประมาณร้อยละ 18-20 ล่าสุดติดลบน้อยลง อยู่ที่ประมาณติดลบร้อยละ 10.5 ซึ่งตัวเลขท่องเที่ยวที่ดีขึ้นนั้นก็มาจากเริ่มที่จะมีการฟื้นตัวและแหล่ง ท่องเที่ยวในประเทศไทยคนยังให้ความสนใจอยู่มาก ซึ่งที่ผ่านมาเราก็พยายามทำงาน กระทรวงท่องเที่ยวก็พยายามสร้างความมั่นใจและดึงดูดในทุกภูมิภาค อย่างที่ไปอังกฤษมาทางกระทรวงการท่องเที่ยวก็ไปทั้งอังกฤษ เยอรมัน สเปน และมีการดึงสื่อมวลชนเข้ามาและตนก็ได้มีโอกาสได้พบปะด้วย
ขอบคุณเนื้อหาข่าวจาก คมชัดลึก