• "ถ้าเขาหยุด ผมก็หยุด..." พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร |
โพสต์โดย ตนข่าว , วันที่ 03 มิ.ย. 50 เวลา 14:54:32 IP: Hide ip |
กด like เพื่อติดตามข่าวสารดีๆ จาก cmprice.com VVVVVV
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
© เนื้อหาข่าว/กระทู้
พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร ผู้ช่วย
ผบ.ทบ. “นักรบร่างเล็ก หัวใจเอกซ์แอล”
แกนนำคนสำคัญของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.)
ถูกมอบหมายจากเพื่อนพ้องน้องพี่ให้สวมบท “จอมบู๊”
ดับเครื่องชนกลุ่มอำนาจเก่าจนย่อยยับป่นปี้
สร้างความเจ็บแค้นให้กับใครหลายคน...!
“แรงอาฆาต” ยิ่งเพิ่มทวีคูณขึ้น หลังตุลาการรัฐธรรมนูญมี
คำวินิจฉัยให้ยุบพรรคไทยรักไทย และเพิกถอนสิทธิทางการเมือง 111
กรรมการบริหารพรรค 5 ปี แต่ “บิ๊กเปย” ของเพื่อนๆ
ไม่เคยกลัวใครหน้าไหนทั้งสิ้น
“ถ้าจะมาเช็กบิลผม ผมก็ต้องเช็กบิลกลับ” “ถ้ามาเผาบ้านผม ผมก็จะเผากลับ บ้านผมมีแค่หลังเดียว แต่บ้านพวกนั้นมีเป็นร้อย” แต่ถ้าเขาหยุด ผมก็หยุด
''สพรั่ง'' กับภารกิจ ''รองนายกฯ'' จำแลง
โดย — ไพบูลย์ กระจ่างวุฒิชัย
บทบาทของ “บิ๊กเปย” พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร ผู้ช่วย ผบ.ทบ.
และผู้ช่วยเลขาธิการคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.)
ไม่ใช่เพิ่งมาโดดเด่นในช่วงบรรยากาศทหารครองเมือง
เพราะได้แสดงบทบู๊มาตั้งแต่ยุค “ระบอบทักษิณ” เฟื่องฟูแล้ว
“บิ๊กเปย” ขณะดำรงตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 3 คือ ผู้เดียวที่กล้าออกมาต่อกรกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แบบ ตาต่อตา ฟันต่อฟัน และในการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 กองทัพภาคที่ 3 ก็เป็นกำลังสำคัญในครั้งนั้น
นอกจากนี้ บิ๊กเปย ยัง ได้รับความไว้วางใจจาก พล.อ.สนธิ
บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) และประธาน คมช. พี่ใหญ่ของน้องๆ
ให้ทำหน้าที่ “ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ คมช.” อีกตำแหน่ง
ซึ่งงานหลักของศูนย์ปฏิบัติการนี้ก็คือ การเฝ้าระวัง คลื่นใต้น้ำ ไม่ให้ออกมาโต้คลื่นในยามที่บ้านเมืองกำลังเปลี่ยนผ่านเช่นนี้
ด้วยบทบาท ภาระหน้าที่ และผลงานซึ่งเป็นที่ประจักษ์ ส่งผลให้ชื่อของ พล.อ.สพรั่ง เข้าไปเป็นหนึ่งในผู้ที่จะมี ลุ้นนั่งเก้าอี้ ผบ.ทบ.
ต่อจาก พล.อ.สนธิ ที่จะเกษียณอายุราชการในเดือนกันยายนนี้ร่วมกับ
พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้ช่วย ผบ.ทบ. พล.อ.มนตรี สังขทรัพย์ เสธ.ทบ. และ
พล.อ.วินัย ภัททิยกุล ปลัดกระทรวงกลาโหม และเลขาธิการ คมช.
แต่ก่อนจะไปลุ้นเก้าอี้ใหญ่ พล.อ.สพรั่ง
ยังมีการบ้านที่จะต้องทำอีกเยอะ โดยเฉพาะคดียุบพรรคที่ยังไม่สะเด็ดน้ำ
ท่ามกลางกระแสข่าวลือปฏิวัติซ้ำออกมาเป็นระลอกๆ
พล.อ.สพรั่ง เริ่มต้นเปิดใจกับ “โพสต์ทูเดย์” เรื่องการปฏิวัติซ้ำว่า
ข่าวดังกล่าวไม่ได้ออกมาจากพวกเรา ขอให้เชื่อได้
เพราะไม่นิสัยส่วนตัวที่เป็นคนโกหก แต่ยอมรับว่าในช่วงใหม่ๆ
ผมเป็นคนพูดเอง โดยตอนนั้นพูดว่า “ถ้ายังไม่ดีก็ต้องมีรอบสอง เพื่อให้เคลียร์ทุกอย่างให้จบ”
ถ้าตอนนั้นทำจริงๆ ประชาชนไม่ว่า
ถ้าเราจะขับรถอะไรออกมาเพื่อเข้าไปเคลียร์บ้านที่เป็นท่อน้ำเลี้ยง
แต่พอสถานการณ์มันเริ่มคลายตัว และมีรัฐบาลรักษาการเข้ามาบริหารประเทศ
ฉะนั้น ข่าวเรื่องการปฏิวัติซ้ำที่ออกมาไม่ใช่ฝีมือพวกเรา
ทำให้คิดได้ว่าเจตนาของผู้ที่ปล่อยข่าวเรื่องนี้ต้องการยั่วยุให้
คมช.แตกกัน เพื่อสร้างความระแวงซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะเรื่องตำแหน่ง
ผบ.ทบ. ต่อจาก พล.อ.สนธิ
แสดงว่าเรื่องตำแหน่ง ผบ.ทบ.ในอนาคตขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้บังคับบัญชาเท่านั้น
โอ้โห! เรื่องนี้อย่ามาห่วงใยผมเลย ทุกวันนี้ผมทำงานมากกว่า ผบ.ทบ.คนเก่าเมื่อหลายปีที่แล้วเสียอีก เพราะ
ว่าตอนนี้เหมือนกับผมทำหน้าที่ “รองนายกรัฐมนตรีจำแลง”
ที่พูดไม่ได้หมายความผมบังอาจนะ แต่ที่บอกอย่างนี้หมายความว่า
ผมมีความห่วงใยชาติบ้านเมือง ผมเองก็ทำหน้าที่หลายอย่างที่ปิดทองหลังพระ
และบางคนบอกว่าผมเป็นคนมีกรรม เพราะ คนที่เป็นผู้ช่วย ผบ.ทบ.ในอดีต
ป่านนี้ต้องไปดูงาน เมืองนอกแล้ว
nทาง คมช.เตรียมพร้อมกับการเมืองหลัง การตัดสินคดียุบพรรคอย่างไร
คมช.จะจับตา กรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยมากเป็นพิเศษหรือไม่
ความเข้มข้นจะมีระดับไหน
คำถามที่ถามคือคำตอบของผม เพราะถ้าสถานการณ์เกิดความรุนแรงจนต้อง
ใช้ความเข้มข้น แสดงว่าพวกเขาไม่ยอมรับกติกา
ซึ่งหน้าที่ของผู้รักษากฎหมายและผู้ที่ดูแลความมั่นคงต้องทำทุกอย่างให้
เกิดความสงบเรียบร้อยแก่บ้านเมือง
ส่วนมาตรการจะเป็นอย่างไร ถ้าผมไปบอกก่อนก็จะเหมือนกับว่าเป็นการจงใจตามกัด ตามล่า ตามเช็ก ตามล้าง ตามผลาญพวกเขาเกินไป
กลับกัน ถ้าเขาไม่เคลื่อนไหว เราจะไปทำอะไร หรือกลั่นแกล้งเขาได้อย่างไร
การที่เขาไม่เคลื่อนไหว
แสดงว่าเขายอมรับการตัดสินของตุลาการรัฐธรรมนูญแล้ว และจะว่าไปแล้ว
วันนี้เราก็ไม่เคยไปเกาะติดอะไรเขา บางทีดูเหมือนจะปล่อยมากเกินไปด้วยซ้ำ
จนสังคมยังบอกว่าเราเป็นพวกหน่อมแน้ม ขิงอ่อน ขิงหมดอายุ
แสดงว่ามีความมั่นใจว่าสถานการณ์ทางการเมืองนับจากนี้จะอยู่ในความสงบ
ความมั่นใจมาจากการประเมินสถานการณ์ที่ปราศจากความผิดพลาดหรือการคลาด
เคลื่อน อย่างไรก็ตาม คมช.ได้มีมาตรการรองรับเผื่อเหลือเผื่อขาดเอาไว้แล้ว
เพื่อรองรับสถานการณ์ที่อาจคาดไม่ถึงไว้เช่นกันแบบ Full Extra (เต็มกำลัง)
ป้องกันในสิ่งที่คาดไม่ถึง
ผมไม่อยากยกตัวอย่างในที่นี้ว่าสถานการณ์ที่คาดไม่ถึงมีอะไรบ้าง
เพราะจะเป็นการชี้โพรงให้กับบางฝ่าย
พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นเหมือนหยาดฝนที่มาชโลมวิกฤต
ทำให้ฝ่ายที่คิดแผนสกปรกไม่สามารถทำให้เป็นจริงได้
และล้มลงอย่างไม่เป็นท่า อยากให้ทุกฝ่ายสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ
เพราะในหลวงทรงห่วงใยอยากให้บ้านเมืองสงบสุขทุกเวลา
ไม่ใช่ในยามที่บ้านเมืองวิกฤตเท่านั้น
แต่พระองค์ทรงติดตามเพื่อช่วยให้บ้านเมืองได้รับการแก้ไขมาตลอดเวลา เช่น
โครงการพระราชดำริต่างๆ เป็นต้น
ในเรื่องนี้สื่อมวลชนต้องถวายความจงรักภักดีด้วยการเผยแพร่พระราชดำรัส
เพื่อเตือนคนชั่วไม่ให้กำเริบเสิบสาน
และเพื่อเห็นแก่ประชาชนผู้อ่อนด้อยในการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร
อย่าให้พวกเขาถูกซ้ำเติมเลยอีกว่า นอกจากพวกเขาจะจนแล้ว
แต่กลับยังถูกหลอกอีก มันเป็นเรื่องอันตรายมาก
เพราะลูกหลานเราจะไม่พบกับความสงบสุขอีกเลย
ในคืนวันที่ 19 กันยายน 2549
ทำไมคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
(คปค.) ไม่ประกาศอายัดทรัพย์ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองก่อน
เพื่อเป็นการตัดปัญหาท่อน้ำเลี้ยงขึ้นมาทันที
จากนั้นถึงให้นักการเมืองมาทำการพิสูจน์ทรัพย์
“นั่นน่ะสิ”
อยากบอกว่าที่ปรึกษากฎหมายของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมี
พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ในตอนนั้นให้ข้อคิดไว้เหมือนกัน
แต่สถานการณ์ตอนนั้นที่ผมอยู่ด้วยมันสับสนมาก
เพราะฉะนั้นตอนนี้อยากให้ทุกฝ่ายได้บทเรียนผ่านการปฏิวัติในครั้งนี้
เพราะถ้าชาติบ้านเมืองของเรามันไม่ดีขึ้น ในอนาคตอาจเกิดกลียุคอีกแบบ
ดังนั้น
ในอนาคตประเทศต้องได้คนมีความรู้และมีความรักชาติบ้านเมืองที่จะต้องมาเป็น
ตัวนำและกลุ่มนำมากอบกู้บ้านเมืองเหมือนกับสมัยพระยาตากที่ไม่ได้กอบกู้
ประเทศได้เพียงพระองค์เดียว
คนเถื่อนอย่างบางคนไม่สมควรที่จะเป็นตัวแทนของใครก็ตามที่อ้างว่าชอบด้วย
การรวมกลุ่มรวมตัว
หรือจัดตั้งเป็นชื่อชมรมกลุ่มคนวันนั้นหรือคนวันนี้ทั้งสิ้น
แต่ถ้าเขาใส่ใจต่อคำว่า การเป็นคนไทย
และสำนึกว่าตัวเองเกิดบนผืนแผ่นดินไทยแล้ว
ก็ควรที่จะหยุดการเคลื่อนไหวที่ส่งผลต่อความสงบของประเทศ
การที่เขายังอ้างประชาธิปไตยและการเลือกตั้งเป็นใหญ่เท่านั้น
โดยไม่สนใจเรื่องอื่นๆ ถ้าเปรียบไปก็เหมือนกับพระที่ปาราชิก
(ขาดจากความเป็นพระ) แล้ว แต่ยังมาบังอาจขึ้นธรรมาสน์มาเทศน์ให้ชาวบ้านฟัง
ถามว่าพระที่ปาราชิกไปตั้งนานกลับมามีสิทธิ์ที่มานั่งเทศน์ให้ชาวบ้านฟัง
อย่างไร และผมรับไม่ได้กับคนเลวที่ยังมาเสียงดังตามพื้นที่สื่อ
ผมเองสงสารประเทศไทย
เพราะสื่อเองเต็มใจเพียงเพื่อให้ตัวเองมีข่าวและได้เฮฮาตอบโต้ไปมาระหว่าง
พล.อ.สพรั่ง กับพวกกลุ่มบ้าบอคอแตก จริงๆ ผมไม่ชอบทะเลาะรายวันผ่านสื่อ
ทำไมสังคมไทยเกิดความขัดแย้งทางความคิดออกเป็นฝักฝ่ายมากขนาดนี้
ส่วนตัวผมไม่ได้มีความขัดแย้งกับใคร
และผมเองคงไม่ใช่ที่ดับความขัดแย้งของใครอีกเช่นกัน
แต่สำหรับในสังคมไทยผมมองได้ว่าเป็นลักษณะทางพุทธศาสนา คือ “นานาจิตตัง”
ความขัดแย้งตอนนี้ถูกทำให้มองว่าเป็นการเผชิญหน้า แต่จริงๆ
แล้วสังคมไทยสามารถมีความคิดเห็นแตกต่างกันได้
เหมือนคุณชอบใส่รองเท้าสีนี้ ก็เป็นเรื่องของความชอบของแต่ละคน
แต่เมื่อไหร่เมื่อมีการดูถูกและข่มเหงกันว่ารองเท้าของคนนั้นไม่ดี
ตอนนี้แหละคือกลายเป็นความขัดแย้งทันที กลายเป็นพวกมิจฉาทิฐิ พวกดื้อรั้น
ซึ่งความแตกต่างเป็นเรื่องปกติที่สามารถสร้างสรรค์ได้
ถ้าความคิดเราอยู่บนสิ่งที่ถูกต้อง
อยากบอกว่าความอิสระทางระบบการปกครองของบ้านเราสอดคล้องกับหลักพุทธศาสนาคือ
นานาจิตตัง
แต่การที่มีความเห็นเป็นของตัวเองก็ไม่ควรคิดว่าความคิดเห็นของตัวเองเป็น
ใหญ่เท่านั้น เพราะความคิดคนเราเปลี่ยนกันได้ โดยในทางพุทธศาสนาเราต้องฟัง
และเปิดใจให้กว้าง
ผมเองเป็นคนเกลียดเผด็จการ
ไม่ชอบผู้บังคับบัญชาที่เผด็จการ และถ้ามาด่าผมโดยที่ไม่ฟังกัน
ผมถือว่ายังไม่รู้จักผมดีพอ ผมก็ไม่ชอบเหมือนกัน คนที่ด่าผมเป็นคนรับจ้างทั้งนั้น ผมต่างหากที่ไม่ได้รับจ้างใคร เพราะการทำงานทุกอย่างของผมเป็นไปตามหน้าที่
มองอย่างไรกับการที่ คมช.ถูกต่อต้านจากหลายฝ่าย ทั้งๆ ที่เมื่อ 8
เดือนที่แล้ว คมช.เองในช่วงนั้นได้รับคำชื่นชม
และในเมื่อสถานการณ์เป็นแบบนี้ คมช.จะทำอย่างไร
เป็นการดูและหยั่งท่าที เพื่อดูความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของ
คมช.เป็นอย่างไร โดยเขาเอากลับไปคิดว่าทำอย่างไรเพื่อรื้อฟื้น กอบกู้
เรียกพรรคพวกที่แตกกระเจิงให้ค่อยๆ กลับเข้ามา ลองสังเกตสิว่า
ตอนแรกทำวันละนิดวันละหน่อย เวทีต่อต้าน คมช.ก็ยังเล็กๆ อยู่
ตอนหลังเริ่มมีการขึ้นป้ายขนาดใหญ่แล้ว
นี่แหละมาจากความเป็นม้าอารีย์มากเกินไป
ผมก็รู้สึกตัวเองเหมือนกันว่า ทำไมเมื่อก่อนมีคนชอบ คมช.
แต่ตอนนี้ถึงได้ไม่ชอบ และผมก็เบื่อตัวเองเหมือนกัน
รวมทั้งยังคิดว่าเราเบาในสิ่งที่ไม่ควรเบา
เพราะการจัดระเบียบต้องจัดให้เข้มงวดกวดขัน
จนกระทั่งถึงการส่งมอบอำนาจหน้าที่ต้องทำให้เรียบร้อยทุกอย่าง
ต้องมีหลักประกันว่าคนที่มารับมอบต่อต้องเป็นคนที่รักบ้านรักเมือง
คนที่อยากจะเล่นการเมืองนั้น
ผมยอมรับว่าไม่มีการเล่นการเมืองที่ไหนปลอดจากการใช้เงิน 100%
เพราะถ้าคิดแบบนี้มันเหมือนฝันไปหน่อย แต่อย่างน้อยก็หวังว่าคนดีๆ เช่น
นักวิชาการ นักธุรกิจ ที่เป็นคนดีไม่ถูกพรรคการเมืองกีดกัน
แต่มาเล่นการเมืองเพราะเขาคิดว่าพอแล้ว
รวมทั้งเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถที่พร้อมเข้ามาช่วยเหลือบ้านเมือง
ไม่ใช่ให้พรรคการเมืองเลือกคนมาเล่นการเมือง
โดยดูจากเงินว่าคุณจะให้เงินกับพรรคเท่าไหร่ถึงเข้ามาสู่ถนนการเมืองได้
ที่มาจาก
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
|
|
|
แจ้งลบกระทู้นี้
อ่าน 3674 |
|
แสดงความคิดเห็น |
โดย ตนข่าว
IP: Hide ip
, วันที่ 03 มิ.ย. 50
เวลา 14:54:32
|