ลิงก์ผู้สนับสนุน
© เนื้อหาข่าว/กระทู้
พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551
พระราชบัญญัติฉบับนี้เป็นกฎหมายจัดตั้งและเป็นที่มาของอำนาจของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) โดยให้เป็นองค์กรที่ขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี (มาตรา 5)
ตามปกติแล้วมีหน้าที่ติดตามตรวจสอบสถานการณ์ที่อาจเป็นภัยต่อความมั่นคง เสริมการปฏิบัติงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และดำเนินการอื่นตามที่ได้รับมอบหมาย (มาตรา 7) ในกรณีที่ปรากฏ
เหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร แต่ยังไม่มีความจำเป็นต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน และเหตุการณ์นั้นมีแนวโน้มว่าจะอยู่ต่อไปเป็นเวลานาน ทั้งอยู่ในอำนาจของหน่วยงานหลายหน่วย ให้คณะรัฐมนตรีมีอำนาจมอบหมายให้กอ.รมน. เป็นผู้รับผิดชอบในการป้องกัน ปราบปรามเหตุการณ์ดังกล่าว (มาตรา 15)
ผู้อำนวยการ กอ.รมน. โดย ความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีมีอำนาจออกข้อกำหนด ห้ามเข้าไปในบริเวณพื้นที่ อาคาร หรือสถานที่ที่กำหนด ห้ามออกนอกเคหสถาน ห้ามใช้เส้นทางคมนาคมหรือการใช้ยานพาหนะ ให้ปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งเกี่ยวกับเครื่องมืออิเล็กทรอนิคส์ (มาตรา 18)
ข้อกำหนด ประกาศ คำสั่งหรือการกระทำตามกฎหมายนี้ไม่อยู่ในอำนาจการตรวจสอบของศาลปกครอง แต่อยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรม (มาตรา 23)
พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548
นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีมีอำนาจประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ระยะเวลาครั้งละไม่เกินสามเดือน ในกรณีเร่งด่วนนายรัฐมนตรีคนเดียวมีอำนาจประกาศไปก่อน แล้วมาขอความเห็นชอบภายหลังได้ (มาตรา 5)
เมื่อประกาศแล้ว อำนาจหน้าที่ของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ให้โอนมาเป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรี (มาตรา 7)
นายกรัฐมนตรี มีอำนาจออกข้อกำหนดเพื่อ ห้ามมิให้บุคคลใดออกนอกเคหสถานในเวลาที่กำหนด ห้ามมิให้มีการชุมนุมหรือมั่วสุมกัน ณ ที่ใดๆ ห้ามการเสนอข่าว การจำหน่าย ทำให้แพร่หลายซึ่งหนังสือหรือสื่ออื่นใด ที่อาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัวหรือเกิดความไม่สงบ ห้ามใช้เส้นทางคมนาคมหรือยานพาหนะที่กำหนด ห้ามใช้อาคารหรืออยู่ในสถานที่ใดๆ หรืออพยพประชาชนออกจากพื้นที่ที่กำหนด (มาตรา 9)
ในกรณีที่สถานการณ์ฉุกเฉินมีการก่อการร้าย หรือใช้กำลังประทุษร้าย กระทบต่อความมั่นคง นายกรัฐมนตรีมีอำนาจประกาศให้เป็นสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง โดยให้เจ้าหน้าที่ของรัฐมีหน้าที่เพิ่มเติมขึ้น สามารถจับกุมบุคคลใดที่ต้องสงสัย ออกคำสั่งเรียกบุคคลใดมาให้ข้อมูล ออกคำสั่งยึดอาวุธ หรือสินค้าใดๆที่ต้องสงสัย ออกคำสั่งตรวจค้น รื้อ ทำลายอาคารหรือสิ่งปลูกสร้างตรวจสอบจดหมาย โทรเลข โทรศัพท์ ยับยั้งการสื่อสารใดๆ ห้ามผู้ใดเดินทางออกนอกราชอาณาจักร ออกคำสั่งให้ใช้กำลังทหารเพื่อช่วยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ ฯลฯ (มาตรา 11)
สามารถควบคุมตัวบุคคลที่ต้องสงสัยไว้ได้ไม่เกินเจ็ดวัน (มาตรา 12) (ในกรณีปกติกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาให้ควบคุมตัวได้ไม่เกินสี่สิบแปดชั่วโมง)
ข้อกำหนด ประกาศ คำสั่งหรือการกระทำตามพระราชกำหนดนี้ ไม่อยู่ในอำนาจการตรวจสอบของศาลปกครอง (มาตรา 16)
เจ้าหน้าที่ที่ใช้อำนาจตามพระราชกำหนดนี้ไม่ต้องรับผิดทั้งทางแพ่ง ทางอาญา และทางวินัย หากเป็นการกระทำที่สุจริตและไม่เกินสมควรแก่เหตุ (มาตรา 17)
Credit : arliament.go.th
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
|