จากหลักฐานสำคัญ ตามภาพที่ 2-3 เป็นภาพจากกล้องวงจรปิด จากศูนย์โทรศัพท์ True ที่ห้างสรรพสินค้า เมกะ บางนา ที่คนร้ายใช้สำเนาบัตรประชาชนปลอมของนายพันธุ์สุธีฯ มาขอเปลี่ยนซิมการ์ดใหม่ แต่ใช้เบอร์เดิม (ของนายพันธุ์สุธี) ซึ่งพนักงานของ True ยอมรับว่าผิดพลาดจริง โดยไม่ได้มีการตรวจสอบว่าสำเนาบัตรประชาชนของนายพันธุ์สุธี ตรงกับหน้าของคนร้ายหรือไม่

เมื่อคนร้ายได้ซิมการ์ดใหม่ไปแล้ว ทำให้เบอร์โทรศัพท์ของนายพันธุ์สุธีขัดข้อง ไม่สามารถใช้การได้ ซึ่งคนร้ายก็ได้ใช้เบอร์โทรศัพท์ที่ได้มาโทรศัพท์ไปที่ Call center ของธนาคารกสิกรไทย ทำการเปลี่ยนรหัสโอนเงินบัญชีของนายพันธุ์สุธี ทำให้คนร้ายสามารถใช้ K-Cyber แฮคเงินในบัญชีของนายพันธุ์สุธีได้ในที่สุด โดยได้ถอนเงินออกไป จำนวน 3 ครั้ง รวมยอด 9.8 แสนบาท โดยได้นำไปเข้าบัญชี ตามภาพที่ 4

หลังจากนั้นคนร้ายก็เริ่มถอนเงินจากธนาคาร โดยใช้ทั้งสมุดและบัตร ATM ทำการถอนเงินตั้งแต่ที่ห้างเมกะ บางนา ไปจนถึง จ.เพชรบุรี โดยใช้เวลาตลอดเที่ยงวันไปถึงเที่ยงคืน จนกระทั่งนายพันธุ์สุธีไปเช็คบัญชีถึงรู้ว่า เงินในบัญชีหายไป เหลือติดบัญชี 58 บาท ที่สำคัญคือ นายพันธุ์สุธีไปขอความร่วมมือจากทางธนาคารกสิกรไทย แต่ก็ไม่ได้รับความร่วมมือ กลับบ่ายเบี่ยงตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2559 จนถึงวันนี้ ผ่านมาแล้ว 9 วัน โดยไม่รับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้น โดยนายพันธุ์สุธี ได้ขอดูภาพจากกล้องวงจรปิด บริเวณหน้าตู้ ATM ที่คนร้ายกดเงิน และไปถอนเงินในธนาคาร แต่ทางธนาคารกลับแจ้งว่ากล้องวงจรปิดเสีย

ทางชมรมฯ จึงขอเรียกร้องไปยัง True move และธนาคารกสิกรไทย โปรดแสดงความรับผิดชอบในเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน เพราะหลักฐานทั้งหมดเห็นได้ชัดอยู่แล้วว่าคนร้ายทำกันเป็นขบวนการ และเกิดจากการผิดพลาดของ True move และธนาคารกสิกรไทยอย่างชัดเจน

จึงแจ้งมาเพื่อให้พี่น้องประชาชนทราบโดยทั่วกัน

ชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม