ที่มา http://www.komchadluek.net/news/crime/31353
"ฆ่าหมู่เกลื่อน 5ศพ บ้าน สท สระบุีรี"
เมื่อมือปืนระดับพระกาฬบุกยิงส.ท.เมืองสระบุรี กับพวกถึงในบ้านพักอย่างอุกอาจ งานนี้ยิงกันเหมือนในหนัง คนร้ายบุกเข้าไปถึงบ้านกราดยิงเหยื่อแบบเรียงตัว ก่อนที่จะเกิดการต่อสู้กัน ต่างฝ่ายต่างยิงใส่กันจนปลอกกระสุนและหัวกระสุนหล่นเกลื่อนพื้น เป็นการฆ่าที่โหดและดุดัน
หลังสิ้นเสียงปืนเหยื่อถูกยิงนอนตายเรียงกันถึง 5 ศพ!!
เหตุที่เกิดขึ้นตำรวจสันนิษฐานว่าน่าจะมาจากเรื่องความแค้นส่วนตัว
พร้อมๆ กับพบว่าก่อนหน้านี้ส.ท.เหยื่อกระสุน เกิดไปมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับกลุ่มคนมีสีซึ่งเป็นนายทหารคุมกำลังหลักอยู่ สังกัดหนึ่ง ประกอบไปด้วย นายทหารยศพันตรี ระดับรองผู้บังคับการกองพัน และระดับร้อยเอก-ร้อยโท มีการลงไม้ลงมือกัน จนฝ่ายทหารได้รับบาดเจ็บสาหัส และมีการขู่อาฆาตกันเอาไว้
และแน่นอนว่าหลังเกิดเรื่อง ส.ท.ผู้นี้ก็พอรู้ตัวอยู่กลายๆ ว่ากำลังถูกปองร้าย
แต่แล้วก็หนีความตายไม่ได้!!?
ย้อน ไปดูเหตุการณ์ครั้งนี้ เริ่มเมื่อตอนเช้าวันที่ 3 ต.ค. ที่บ้านเลขที่ 149 หมู่4 ต.แค อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.สระบุรี เกิดเหตุร้ายขึ้น เมื่อมีคนไปพบศพคนถูกฆ่าตายในบ้าน หลังรับแจ้ง พล.ต.ต.วันชัย ชัดกิจ พล.ต.ต.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง รอง ผบช.ภาค 1 พล.ต.ต.อุฬาร อเนกบุณย์ ผบก.ภ.จว.สระบุรี พ.ต.อ.ทรงฤทธิ์ สุขสมใจ ผกก.สภ.หน้าพระลาน พ.ต.ท.จักรกฤช วีระเดช รอง ผกก.(สส.) พ.ต.ท.มนต์ชัย พุ่มพูน สวป. พ.ต.ท.สานิต งามขำ สว.สส.สภ.หน้าพระลาน รุดไปดูเหตุการณ์ทันควัน
เกิดเหตุสะเทือนขวัญขึ้นแล้วที่ "สระบุรี"
บ้านหลังนั้นเป็นบ้านคนมีฐานะ สร้างรั้วรอบขอบชิด ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 10 ไร่ ภายในปลูกบ้านไว้ 2 หลัง เป็นบ้านหลังใหญ่ภูมิฐานชั้นเดียว กับสองชั้น ที่ลานจอดรถหน้าบ้านหลังแรก พบรถเก๋งโตโยต้า อัลติส สีบรอนซ์เงิน ทะเบียน กก 1888 สระบุรี จอดอยู่หน้าทางเข้าประตูบ้าน ด้านท้ายรถพบศพนายชวลิต หรือ "เชษฐ์" ทิพยเศวต อายุ 42 ปี อยู่บ้านเลขที่ 30/1 ถนนเทศบาล 7 ต.ปากเพรียว อ.เมือง จ.สระบุรี สมาชิกสภาเทศบาล(ส.ท.)เมืองสระบุรี เจ้าของร้านอาหารริมคลองชล ร้านชื่อดังในจ.สระบุรี สภาพศพถูกยิงเข้าไหล่ซ้ายกระสุนฝังใน ไปตุงอยู่ข้างหลังด้านขวา ศพนั่งพิงผนังปูนสูง 2 ฟุต มีรอยหยดเลือดไปตามพื้นเข้าไปในบ้านชั้นเดียว ลักษณะเหมือนถูกยิงในบ้านและวิ่งหนีออกมา
ศพแรกนอนตายอยู่ตรงลานจอดรถ
ส่วน ที่บ้านชั้นเดียว ห้องนอนเล็กพบศพนายปราโมทย์ สานิชวรรณกุล อายุ 43 ปี เจ้าของบ้าน และเป็นเจ้าของกิจการรถบรรทุก บริษัท อรพรรณขนส่ง จำกัด นอนตายที่พื้นข้างเตียงนอน ถูกยิงเข้าท้ายทอย กระสุนฝังใน มีปืนขนาด 9 ม.ม. อยู่ข้างๆ กระสุนถูกยิงไปแล้ว 3 นัด ยังมีคาอยู่อีก 3 นัด จากห้องนอนเล็กเป็นห้องนั่งเล่น พบศพนายวรพล หรือ "เบิ้ม" ชาจิรัสย์ อายุ 50 ปี อยู่บ้านเลขที่ 169 ซ.พระนคเรศ แขวงมหาพฤฒาราม เขตบางรัก กทม. ถูกยิงเข้าคิ้วขวากระสุนทะลุกกหูขวา ข้างๆ ศพมีปืนลูกโม่ 1 กระบอก กระสุนถูกยิงออกไปจนหมดลูกโม่ วางทับบนปืนแม็กกาซีนขนาด 11 ม.ม. ที่ยังไม่ได้ยิง ซึ่งในห้องนี้บนโต๊ะอาหารมีขวดเหล้า จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ เรดเลเบิ้ล กินหมดไปครึ่งขวด และแก้วเปล่า 1 ใบ
จากห้องนั่งเล่นถัดไป เป็นห้องนอนใหญ่ ที่พื้นห้องใกล้เตียงนอนพบศพนายปัญญา หรือ "แขก" มหาแก้ว อายุ 40 ปี เสี่ยรับเหมา ถูกยิงเข้าขมับซ้าย กระสุนทะลุท้ายทอย ที่จมูกซ้ายมีรูกระสุนอีก 1 นัด กระสุนฝังใน ถัดไปเป็นเตียงนอน พบศพนายอารมณ์ อุดมศักดิ์ สมาชิกสภาเทศบาลเมืองสระบุรี และเจ้าของร้านอาหารไวท์เฮ้าส์ ในเมืองสระบุรี ถูกยิงเข้าที่หน้าอกซ้าย ตัดขั้วหัวใจ กระสุนทะลุหลัง และที่ขมับขวาอีก 1 นัด นอนตายเป็นศพสุดท้ายอยู่ใกล้ๆ กัน
ตรวจค้นในบ้านไม่มีร่องรอยการต่อสู้แต่อย่างใด ที่ห้องครัวมีขวดเหล้าเรดเลเบิ้ล ยังไม่ได้แกะกล่อง 1 ขวด ไก่ย่าง 1 ตัว แกะกระดาษฟอยล์ออกแล้ว มีถุงกับข้าวและถุงขนมยังอยู่ในถุงหิ้ววางไว้
คนร้ายไม่ได้ประสงค์อะไรนอกจากชีวิต!!
พยานเล่าว่า ไม่เห็นภาพนาทีเกิดเหตุ รู้แต่ว่าก่อนพบจุดจบทั้งหมดไปดื่มกินกันที่ร้านอาหารริมคลองชล เมืองสระบุรี และซื้อเหล้าพร้อมกับแกล้มมากินกันต่อที่บ้านดังกล่าว โดยออกจากร้านอาหารประมาณเที่ยงคืน พอตอนตี 2 ชาวบ้านได้ยินเสียงปืนดังหลายนัด คิดว่ายิงปืนเล่นกัน เพราะปกติบ้านหลังนี้มักจะเอาปืนมายิงเล่นกันบ่อยครั้ง
เสียงปืนที่ดังจึงไม่มีใครรู้ว่าเป็นเสียงปืนส่งวิญญาณ
การสังหารครั้งนี้เป็นคดีใหญ่ท้าทายกฎหมาย พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รอง ผบ.ตร. สั่งการให้พล.ต.ต.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผบก.ป. นำทีมตำรวจกองปราบปรามร่วมคลี่คลาย เบื้องต้นสันนิษฐานว่าคนร้ายมีหลายคนและเชี่ยวชาญในการใช้อาวุธเป็นอย่างดี
ขนาดเหยื่อยิงสู้ยังถูกเป่าคาที่!?!
นอกจากนี้ คนร้ายยังทำงานแบบมืออาชีพ ไม่ทิ้งหลักฐานอะไรไว้เลย นอกจากปลอกกระสุนและหัวกระสุนขนาด .38, 9 ม.ม. และ 11 ม.ม. ที่ใช้สังหารเหยื่อ ซึ่งในชั้นนี้ตำรวจตั้งประเด็นสังหารไว้กว้างๆ ทั้งเรื่องความขัดแย้งการเมืองท้องถิ่น เรื่องหักหลังธุรกิจ และเรื่องส่วนตัว
แต่เมื่อขยายผลลงลึกเชื่อว่าน่าจะเป็นเรื่องหลังมากกว่าเรื่องอื่น!!?
ปูมหลังมีอยู่ว่า เมื่อวันที่ 24 ก.ย.ที่ผ่านมา นายอารมณ์ เจ้าของร้านอาหารไวท์เฮ้าส์ เกิดไปมีปัญหากับกลุ่มนายทหารที่มาดื่มกินที่ร้าน โดยนายทหารกลุ่มนั้นไปมีเรื่องกับกลุ่มแฟนเด็กเสิร์ฟร้านนายอารมณ์ จนกระทั่งถูกกลุ่มวัยรุ่นซึ่งเป็นแฟนเด็กเสิร์ฟยกพวกมาตะลุมบอนกลุ่มนายทหาร จนได้รับบาดเจ็บสาหัสไปตามๆ กัน นายทหารระดับพ.ต.กับร.อ.ถูกรุมกระทืบจนบาดเจ็บแขนขาหัก
ดังนั้นนายอารมณ์จึงปฏิเสธส่วนเกี่ยวข้องไม่ได้ในฐานะเจ้าของร้าน!!?
หลังจากวันนั้นก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นกับร้านไวท์เฮ้าส์ ของนายอารมณ์ เมื่อมีกลุ่มชายลึกลับมาก่อกวนตลอด จนนายอารมณ์ต้องวิ่งโร่ไปขอความช่วยเหลือจากพล.ต.เมธี ธรรมรังสี นายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองสระบุรี ให้ช่วยเคลียร์ปัญหา พล.ต.เมธีรับปากจะช่วยเคลียร์ให้ แต่ต้องรอให้นายทหารที่บาดเจ็บอาการดีขึ้นเสียก่อน และระหว่างที่รอเวลานี่เอง นายอารมณ์พอรู้ตัวว่าถูกปองร้าย จึงได้มาขอพักอาศัยอยู่ที่บ้านนายปราโมทย์ เพื่อหนีตาย
แต่จนแล้วจนรอดก็หนีมัจจุราชไปไม่ได้!!?
ตามแนวทางสืบสวน เชื่อว่าขณะเกิดเหตุน่าจะเป็นเวลาประมาณตีสองถึงตีสาม โดยนายอารมณ์อาจอยู่ในบ้านเพียงลำพัง ก่อนที่นายปราโมทย์กับเพื่อนๆ อีก 4 คน ซึ่งไปเที่ยวในตัวเมืองจะนำอาหารและเหล้ามาดื่มกินต่อที่บ้าน จนกระทั่งเจอคนร้ายที่คาดว่ามีไม่ต่ำกว่า 3 คน ที่จะบุกมาสังหารนายอารมณ์ แต่กลับเจอคนมากกว่าที่คิดไว้จึงเกิดการต่อสู้กัน แต่ทว่าคนร้ายมีความชำนาญในการใช้อาวุธมากกว่า
ถึงแม้กลุ่มผู้ตายจะมีปืนยิงสู้แต่ก็หนีไม่พ้นคมกระสุนของมืออาชีพ
อันเป็นที่มาของการตายหมู่ในครั้งนี้!!?
รายละเอียดจากคมชัดลึกครับ
เมื่อเวลาตี 3 ครึ่ง วันที่ 25 กันยายน มีนายทหารยศ พ.ต. 2 คน ร.อ. 1 คน และ ร.ท.1 คน สังกัดกองทหารในจังหวัดสระบุรี ได้เข้าไปนั่งดื่มกินที่ร้านอาหารไวท์เฮ้าส์ของ ส.ท.อารมณ์ และถูกทำร้ายร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัส บ้างกรามหัก บ้างแขนหัก แตกต่างกันไป ทั้งสี่ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลศูนย์สระบุรี
หนึ่งในชุดสืบสวนบอกว่าชนวนเหตุเกิดจากขณะดื่มกินจนเมาได้ที่ หนึ่งในกลุ่มทหารไปจับก้นเด็กเสิร์ฟสาว ส่งผลให้ ส.ท.อารมณ์เกิดความไม่พอใจอย่างรุนแรง เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นที่รับรู้กันดีในสังคมซุบซิบเมืองสระบุรี และมีการพูดถึงในทำนองว่ากันว่า อารมณ์ได้ไปว่าจ้างเด็กวัยรุ่นใจถึงหลายคนเป็นเงิน 3,000 บาท ให้ทำร้ายนายทหารทั้งสี่ หลังเกิดเหตุมีเสธ.ทหารคนหนึ่งเรียกให้อารมณ์เข้าไปเคลียร์ปรับความเข้าใจ แต่เขากลับปฏิเสธและหนีไปอยู่กับปราโมทย์เพื่อนสนิทแทน
วันที่ 26 กันยายน หรือ 1 วันถัดมา เวลา 6 โมงครึ่ง มีกลุ่มชายฉกรรจ์ตัดผมสั้นเกรียนราว 20 คน เข้ามาดื่มกินภายในร้านไวท์เฮ้าส์ มีการสั่งสุราอาหารมากินขนานใหญ่ กระทั่ง 4 ทุ่มจึงมีชายฉกรรจ์อีกกลุ่มใหญ่ตามมาสมทบ ถ้าไม่ถึง 100 คนก็น่าจะใกล้เคียง เข้ามาใช้บริการ ดื่มกินจนเกือบตี 3 ก่อนจะเรียกเก็บเงินเบ็ดเสร็จ 36,149 บาท แต่ทั้งหมดไม่ยอมจ่ายและบอกให้ไปเก็บกับหน่วยงานทหารแห่งหนึ่งในเมืองสระบุรี ก่อนจะลงมือทุบทำลายทรัพย์สินจนพังยับเยินไปทั้งร้าน หลังเกิดเหตุพนักงานร้านได้เข้าแจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้
ระหว่างนี้ ส.ท.อารมณ์เริ่มกริ่งเกรงถึงภัยคุกคาม เขาเก็บตัวและขลุกอยู่กับปราโมทย์กับกลุ่มเพื่อน ขณะเดียวกันก็พยายามติดต่อผู้ใหญ่คนกลางให้ช่วยเข้ามาไกล่เกลี่ยความบาดหมาง โดยฝ่ายทหารที่ถูกทำร้ายยื่นข้อเสนอให้จ่ายค่ารักษาพยาบาลและค่าทำขวัญเป็นเงิน 2 ล้านบาท โดยจะนำมาแบ่งกันคนละ 5 แสนบาท แต่อารมณ์ไม่ยินยอมตกลง และขอต่อรองลงมาเป็น 1 ล้านบาท สร้างความไม่พอใจแก่กลุ่มนายทหารคู่กรณีอย่างมาก
ในขณะที่การเจรจายังไม่ได้ข้อยุติ วันที่ 29 กันยายน เวลาประมาณตี 2 ครึ่ง มีชายฉกรรจ์ตัดผมสั้นเกรียน 6 คน อายุประมาณ 20-25 ปี เข้ามาก่อเหตุทำลายข้าวของในร้านไวท์เฮ้าส์อีกครั้ง โดยโยนโต๊ะไม้และเก้าอี้ 12 ชุดลงไปในคลอง หลังเกิดเหตุพนักงานได้เข้ามาลงบันทึกประจำวันเอาไว้อีกครั้ง
ถึงตอนนี้เสี่ยอารมณ์เริ่มตระหนักแล้วว่าเขาไม่อยู่ในฐานะที่จะต่อรองและจัดการกับความบาดหมางที่เกิดขึ้นได้ และผู้ใหญ่คนกลางเองก็บอกให้ยอมจ่ายเสียเรื่องจะได้จบ สุดท้ายเขาจึงตอบตกลงและนัดจ่ายเงินในเช้าวันที่ 3 ตุลาคม แต่ก็มาถูกฆาตกรรมหมู่เสียก่อนในกลางดึกนั่นเอง
"ตามแนวทางการสืบสวนทราบว่า ก่อนเกิดเหตุอารมณ์อยู่ในบ้านทรงไทยหลังเกิดเหตุ ได้โทรศัพท์ไปบอกคนสนิทว่าถูกชายฉกรรจ์มาล้อมบ้าน หลังจากนั้นก็ไม่มีใครสามารถติดต่อทั้ง 5 คนได้อีก กระทั่งมารู้ว่าถูกฆาตกรรมยู่ภายในบ้านทั้ง 5 คน" หนึ่งในชุดสืบสวนบอก
ทั้งนี้ มีการวิเคราะห์กันในหมู่นักสืบว่า ก่อนเกิดเหตุอารมณ์อยู่ภายในบ้านคนเดียว เมื่อโทรหาเพื่อนว่าถูกล้อมบ้าน เพื่อนอีก 4 คนตามเข้าไปจึงถูกจับแยกห้องพูดคุยตกลงกัน แต่อาจเกิดความผิดพลาดขึ้น หรือคนหนึ่งคนใดคิดต่อสู้ จึงถูกฆ่าปิดปากทั้งหมด โดยเหยื่อรายสุดท้ายที่พยายามหนีเอาชีวิตรอด คือ ชวลิต ทิพยเศวต ที่ถูกยิงกึ่งนอนกึ่งนั่งอยู่บริเวณหน้าบ้าน โดยเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นที่โจษขานกันในหมู่คนใกล้ชิด ทั้งของเหยื่อและคู่กรณี ดังนั้น คดีนี้จึงไม่มีอะไรสลับซับซ้อน เป็นเรื่องความแค้นส่วนตัวล้วนๆ ขณะนี้ชุดสืบสวนสอบสวนกำลังรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อขออนุมัติหมายจับผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดแล้ว โดยเฉพาะนายทหารคู่กรณีทั้ง 4 นาย