ลิงก์ผู้สนับสนุน
© เนื้อหาข่าว/กระทู้
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีต นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา นายพานทองแท้ นางสาวพิณทองทา และ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร บุตรชายและบุตรสาว ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรกถึงการเดินทางกลับประเทศไทย ที่โรงแรมเพนนินซูลา วันนี้ (28 ก.พ.) ว่า ที่ผ่านมามีคำถามมากมาย ตนขอสรุปให้ฟังคร่าวๆ ว่า หลังเกิดเหตุการณ์ ปฏิวัติ 19 ก.ย.2549 ตนมีความรู้สึกอยากกลับประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 20 ก.ย. แต่เมื่อทุกฝ่ายขอร้องว่า ให้อยู่ต่างประเทศสักพัก ตนก็อยู่ต่อ และมีการโทรศัพท์ติดต่อกับฝ่ายคณะปฏิวัติแจ้งให้ทุกคนทราบว่า ตนมีน้ำใจเป็นนักกีฬา เมื่อจบแล้วก็จบ อยากให้ช่วยกันสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นภายในชาติ ตนคิดว่าจะอยู่ต่างประเทศ สัก 2-3 เดือน เพราะตนเป็นคนติดบ้าน รักประเทศไทย รักผืนแผ่นดินไทย อยากอยู่กับครอบครัวในประเทศไทย แต่ในที่สุด เหตุการณ์ยังไม่สามารถยุติลงได้ ตนต้องอยู่ต่างประเทศกว่า 17 เดือน เกือบ 18 เดือน ซึ่งถือว่านานมาก
อดีต นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า ในวันที่ตนเดินทางออกไปจากประเทศไทย มีฐานะเป็นนายกรัฐมนตรี ไปประชุมทั้งประชุมเอเชียยุโรป (อาเซม) ประชุมผู้นำประเทศผู้ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด (นาม) ที่กรุงฮาวานา และ เดินทางไปประชุมสหประชาชาติ ช่วยไปช่วยหาเสียง ให้ นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย อดีต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อชิงตำแหน่ง เป็นเลขาธิการสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ด้วยความทุ่มเทและตั้งใจ แต่วันที่เดินทางกลับมาประเทศไทย กลับกลายเป็นผู้ถูกกล่าวหา ต้องพิมพ์ลายนิ้วมือ เปรียบเสมือนเป็นเป็นผู้ต้องหาสำคัญ ซึ่งรู้สึกเสียใจ แม้สิ่งที่เกิดขึ้นกับตนและครอบครัวจะเป็นสิ่งที่น่าเสียใจ แต่รู้สึกเสียใจต่อพี่น้องประชาชนชาวไทยมากกว่า ต่อเหตุการณ์ความขัดแย้งที่ผ่านมา เพราะผู้ที่เหนื่อยที่สุด คือ พี่น้องประชาชน ตนขอกราบอภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวต่ออีกว่า ตนได้กลับมาเพราะประชาชนไปใช้สิทธิเลือกตั้ง หลายคนโล่งใจที่ได้แสดงการตัดสินใจของตนเองไปแล้ว และเมื่อเหตุการณ์คลี่คลายจากการเลือกตั้ง ประชาธิปไตยกลับคืนมาแล้ว ตนจำเป็นต้องมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ กลับมารักษาชื่อเสียงที่ถูกทำลายไปโดยไม่เป็นธรรม
"ขอยืนยันว่าการกลับมาของผมในวันนี้ ไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวกับการเมือง แม้บางคนอาจสงสัยว่า มีนักการเมืองไปมาหาสู่ผม ผมว่ามันเป็นธรรมชาติไม่ใช่หรือ ที่นักการเมืองที่รู้จักกัน ไม่ได้เจอหน้ากันนานๆ ก็ต้องมาเยี่ยมเยียนกัน เป็นวัฒนธรรมของพวกเราไม่ใช่หรือ "อดีต นายกรัฐมนตรี กล่าวและว่า การที่นักการเมืองเหล่านี้คิดถึงตน ที่ตนมีโอกาสได้ส่งเสริมให้ทำงานการเมือง มาเยี่ยมเยียน เดินทางมารับ ไม่ได้หมายความว่า ตนจะกลับมาสู่การเมือง วันนี้ ตนขอใช้ชีวิตเป็นคนไทยคนหนึ่ง ที่ต้องการใช้ชีวิตอยู่ในในประเทศไทย ตนไประเหเร่ร่อนมาทั่วโลก ยืนยันว่า ไม่มีแผ่นดินไหนที่จะให้ความอบอุ่นตนและครอบครัวเท่ากับแผ่นดินไทย ตนจึงขอกลับมา อาศัยอยู่อย่างมีความสุขและความอบอุ่น ตายในผืนแผ่นดินไทยนี้
อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า สำหรับผู้ที่เป็นห่วงว่า จะต้องมาแข่งขันกันทางการเมือง ให้สบายใจได้ว่า ตนจะขอใช้ชีวิตอย่างสันติ อยู่อย่างสร้างสรรค์ อยู่กับครอบครัว เพราะปีนี้ อายุ 59 ปีแล้ว ชีวิตตนไม่ยาวนานมากนัก หากช่วงสุดท้ายจะได้ทำคุณประโยชน์ให้กับสังคม อยู่กับครอบครัวอย่างมีสุข เป็นสิ่งที่ทุกคนควรปรารถนา และตนก็ปรารถนาเช่นนั้นที่จะอยู่ใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัว กับลูกเมีย ขอพักผ่อนบำรุงความสุขให้ตนเองบ้าง หลังตรากตรำทำงานมาชั่วชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการสร้างเนื้อสร้างตัว ทุ่มเทให้กับบ้านเมือง โดยกลับมาอยู่บนผืนแผ่นดินไทย ใช้เวลาในการต่อสู้คดีรักษาชื่อเสียงที่ถูกทำลายไปโดยไม่เป็นธรรม ทำงานด้านการกุศล การกีฬา และการศึกษา ที่เป็นประโยชน์คนไทย ในฐานะประชาชนคนไทยคนหนึ่ง
พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวตอนท้ายของการแถลงข่าวว่า ขอให้สื่อมวลชนทั้งไทยและต่างประเทศช่วยกันทำให้ประเทศไทย กลับมามีความเชื่อมั่นขึ้นอีกครั้ง เพราะตนอยากเห็นประเทศไทยยืนได้อย่างเข้มแข็ง ในภาวะเศรษฐกิจที่มีความผันผวนอย่างรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาซับไพรม์ ในประเทศสหรัฐอเมริกา น้ำมันแพง เศรษฐกิจโลกชะลอตัว และปัญหาภายในของไทย ขอให้ทุกคนช่วยกันแก้ไขปัญหาภายในให้มากที่สุดเพื่อให้ประเทศไทยเข้มแข็ง เผชิญกับปัจจัยภายนอก ให้ประเทศยืนหยัดอยู่ได้
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
|