โรงพยาบาลยอมรับเจ้าหน้าที่หยิบยาผิดป้อน ด.ช.วัย 1 ขวบ จนชักตาตั้ง พร้อมเผยจะดูแลอย่างเต็มที่
จากกรณีที่ นางปัญจรัตน์ ช่วงโชติ อายุ 26 ปี อยู่บ้านเลขที่ 7/68 ม.2 แขวงและเขต จอมทอง กทม. พร้อมด้วยนายสมศักดิ์ สุทธิประภากร ทนายความ และญาติพี่น้องจำนวนหนึ่ง ได้เดินทางเข้าพบ ร.ต.ท.สมบูรณ์ ขอบโคกกรวด ร้อยเวรสอบสวน สภ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี เพื่อแจ้งความร้องทุกข์ กรณีที่บุตรชายของตัวเองวัย 1 ขวบ ถูกแพทย์ของทางโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ ให้ยานอนหลับจนเกิดอาการชักตาตั้งน้ำลายฟูมปาก ต้องเข้ารักษาตัวอยู่ในห้องไอซียู จนถึงขณะนี้ โดยเบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลระบุว่าให้ยาผิด ตามข่าวที่เสนอไปแล้วนั้น
ความคืบหน้าวันนี้ (26 กย.51) ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปติดตามความคืบหน้าของเหตุการณ์นี้ที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี โดยพบนางปัญจรัตน์ ช่วงโชติ มารดาของ ด.ช.เพชรทรินทร์ กรยืนยง หรือน้องเพชร อายุ 1 ปี พร้อมด้วยญาติ ยังคงเฝ้ารอดูอาการของบุตรชายอยู่ที่หน้าห้องไอซียู อย่างใกล้ชิด
นางปัญจรัตน์ กล่าวว่า ตลอดทั้งคืนที่ผ่านมานั้น ได้มีคณะแพทย์หลายคนต่างผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาดูอาการของน้องเพชร ตลอดทั้งคืน และทางแพทย์ยังบอกว่าอาการของน้องเพชรดีขึ้นมาก โดยรู้สึกตัวมากขึ้น ซึ่งทราบว่าในวันพรุ่งนี้ทางแพทย์ที่ดูแลรักษา จะหยุดให้ยาแก้ชัก เพื่อให้น้องเพชร ตื่นขึ้นมา เพื่อจะได้ตรวจสอบอาการอย่างละเอียด ซึ่งตนเองก็หวังว่า ลูกชายของตนจะหายเป็นปกติ
รศ.นพ.ศุภชัย ฐิติอาชากุล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ เปิดเผยว่า ได้รับทราบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดแล้ว และรู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รวมทั้งเสียใจกับความผิดพลาดที่เกิดขึ้น แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นมาแล้ว ทางโรงพยาบาลก็ได้ทำการดูแล รักษาเด็กอย่างเต็มที่ ขณะนี้เด็ก อาการดีขึ้นมากแล้ว รู้สึกตัวดีขึ้น รวมทั้งสามารถรับประทานอาหารได้แล้ว หลังเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น จนถึงขณะนี้เป็นเวลาประมาณ 48 ชม.ผ่านมา พบว่าอาการของเด็กนั้นดีขึ้นตลอด ไม่มีผลแทรกซ้อน หรือมีก็น้อยมาก เรียกว่าแทบจะไม่มีอาการแทรกซ้อนเลย
"ทั้งนี้ตลอดเวลาที่ผ่านมา ทางคณะแพทย์ ได้ร่วมกับแพทย์ที่เชี่ยวชาญด้านเด็ก ปรึกษาหารือและติดตามผลอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะ นพ.พรเทพ พึ่งรัศมี ซึ่งเป็นแพทย์เจ้าของไข้ ได้ดูแลเด็กอย่างใกล้ชิดตลอดเวลาโดยไม่ยอมกลับบ้านพักเลย" รศ.นพ.ศุภชัย กล่าวและว่า
ทางโรงพยาบาลยอมรับว่า มีความผิดพลาดเกิดขึ้นจริง โดยเกิดจากการที่เจ้าหน้าที่ของเราหยิบยาผิด โดยไปหยิบเอายาชาเฉพาะที่ ซึ่งเป็นยาที่ใช้สำหรับการผ่าตัดจมูกผู้ป่าย โดยยาดังกล่าวนั้นแช่อยู่ในตู้เย็นที่เดียวกัน แต่ยังดีที่ยาตัวนี้เมื่อหยอดเข้าปากเด็กแล้ว เด็กมีอาการสำรอกยาออกมาจำนวนหนึ่ง จึงทำให้ตัวยาดังกล่าวเข้าสู้ร่างกายของเด็กเพียงจำนวนไม่มาก ทั้งนี้ทางโรงพยาบาลขอแสดงความเสียใจอย่างยิ่งกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและจะรับผิดชอบดูแลคนไข้อย่างดีที่สุด
"ขณะนี้อาการของเด็กดีมากขึ้นแล้ว จนสามารถที่จะย้ายเด็กออกจากห้องไอซียู ไปอยู่ที่ห้องพิเศษได้แล้ว แต่ทางเรายังคงเห็นว่าให้เด็กอยู่ที่เดิมไปก่อนเพราะจะได้อยู่ในความดูแลของคณะแพทย์อย่างใกล้ชิด ซึ่งคงต้องใช้เวลาดูแลรักษาต่อไปสักประมาณ 1-2 สัปดาห์คาดว่าอาการของเด็กจะดีขึ้นอย่างแน่นอน" รศ.นพ.ศุภชัย กล่าว
ด้านนางปัญจรัตน์กล่าวอีกว่า ขณะนี้ตนเองรู้สึกพอใจในความเอาใจใส่ดูแลของคณะแพทย์ และดีใจที่ลูกชายมีอาการดีขึ้น ตอนนี้ตนเองยังไม่ได้คิดถึงเรื่องอะไรมากไปกว่าต้องการให้ลูกชายปลอดภัยเท่านั้น
ขอบคุณเนื้อหาข่าวจาก คมชัดลึก