• สุรเกียรติ์ย้ำชัด!! ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน!! (ฟังกันบ้างมั้ยไอ้พวกโง่!) ** |
โพสต์โดย คนวัวลาย , วันที่ 24 ธ.ค. 52 เวลา 23:52:31 IP: Hide ip |
กด like เพื่อติดตามข่าวสารดีๆ จาก cmprice.com VVVVVV
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
© เนื้อหาข่าว/กระทู้
สุรเกียรติ์ย้ำชัด!! ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน!! (ฟังกันบ้างมั้ยไอ้พวกโง่!) **
เพราะในเอกสารของกระทรวงการต่างประเทศ ที่ลงนามโดยนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการ และเสนอแนวทางปฏิบัติไปยังนายอภิสิทธิ์ นั้น
ได้มีการเสนอให้เร่งรัดในเรื่องการดำเนินคดีต่างๆ ที่คั่งค้างอยู่ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีให้รวดเร็วเร่งพิจารณาคดี
บริหารจัดการในเรื่องเวลาให้เป็นประโยชน์ต่อรัฐบาลให้มากที่สุด
เป็นการเสนอและเร่งจี้ในช่วงจังหวะที่ การพิจารณาคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาท เข้าสู่โค้งสุดท้ายพอดิบพอดี
ปัญหาก็คือว่า นายอภิสิทธิ์ จะเห็นด้วยกับข้อเสนอแนะของนายกษิตหรือไม่เท่านั้น???เพราะแม้ว่า บรรดาผู้ขึ้นเบิกความในคดียึดทรัพย์ ในส่วนของคนที่มาจาก คตส. ไม่ว่าจะเป็น นายนาม ยิ้มแย้ม นายแก้วสรร อติโพธิ
นายบรรเจิด สิงคะเนติ นายสัก กอแสงเรือง และนายกล้านรงค์ จันทิก จุดยืนเห็นชัดเจน โร่มาตั้งแต่แรกที่ถูกเลือกมาให้เป็น คตส. แล้ว
ในขณะที่พยานเบิกความในส่วนอื่นๆ บ่นไปตามๆ กันว่า ในกระบวนการชั้นสอบสวนที่ผ่านมา คตส.ไม่ได้ให้น้ำหนักหรือสนใจที่จะรับฟัง
คำชี้แจง คำอธิบายเลย
ดังนั้น โค้งสุดท้ายที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กำลังเร่งคดี เพื่อให้สามารถปิดคดีภายในเดือน มกราคม
2553 นี้แหละ
ส่วนจะทำให้ปัญหาของบ้านเมืองยุติลงได้ หรือจะยิ่งทำให้ปะทุบานปลาย ไม่มีใครกล้าที่จะคาดเดา
เพราะในเมื่อพยานที่แนวคิดว่า จะต้องยึดทรัพย์ทั้งหมด 7.6 หมื่นล้านบาท โดยไม่มีการแยกแยะว่า เป็นทรัพย์สินที่เกิดขึ้น หรือได้มา
ในช่วงเวลาไหน ก่อนหรือหลังเล่นการเมือง ก่อนหรือหลังรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มุ่งที่จะยึดทั้งจำนวนเพียงอย่างเดียว
ก็ยังคงยืนกรานแนวคิดเดิมด้วยความสะใจ...
แม้บางคนจะมีการออกตัวว่า ไม่ได้มีการโกรธเคืองกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ตามอย่างไรก็ตาม
พยานในส่วนที่ไม่ใช่อดีต คตส. ถือเป็นน้ำหนักพยาน ที่น่าจะทำให้ปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นกับบ้านเมืองได้รับการเยียวยา
หากว่าได้มีโอกาสที่จะพูดที่จะชี้แจงกันมากขึ้นเช่นกรณีล่าสุดที่ นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย ขึ้นเป็นพยานเบิกความฝ่ายอัยการ หลายฝ่ายจึงมองว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เละแน่แต่จริงๆ แล้ว
กลับไม่ใช่ เพราะนายสุรเกียรติ์นั้นมีความเป็นกลางในการแยกแยะ เรื่องราวต่างๆ บนบรรทัดฐานของความจริง ในแต่ละกรณีได้
ก็นายสุรเกียรติ์นี่แหละ ที่เป็นคนออกมาเตือนนายกษิต ภิรมย์ ว่าควรที่จะเจรจากับประเทศกัมพูชา เจรจากับสมเด็จฯ ฮุน เซน เพื่อยุติ
ปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ย่ำแย่...
แต่นายกษิต ก็ไม่ได้ใส่ใจที่จะดำเนินการ ทำให้จนวันนี้รอยร้าวระหว่างรัฐบาลไทยของนายอภิสิทธิ์ กับรัฐบาลกัมพูชาของสมเด็จฯ ฮุน เซน
ยังไม่มีการเยียวยา แต่อย่างใดทั้งสิ้น
ซึ่งก็นายสุรเกียรติ์อีกนั่นแหละ ที่กล้าพอที่จะพูดตรงๆ ว่า เอกสารลับของกระทรวงการต่างประเทศ น่าจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์
ไทย-กัมพูชา และหลายเรื่องที่ระบุในหนังสือไม่ใช่หน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศ
ดังนั้นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศต้องอธิบายให้ได้ “ยังดีที่นายกรัฐมนตรีระบุว่าข้อความในหนังสือไม่ใช่นโยบาย เป็นเพียง
การวิเคราะห์ของหน่วยงานในกระทรวงการต่างประเทศ ดังนั้น หน่วยงานดังกล่าวก็ต้องอธิบายให้เข้าใจว่าทำไมจึงวิเคราะห์ออกมาเช่นนี้”
นายสุรเกียรติ์ กล่าว
จึงไม่แปลกที่เมื่ออัยการนำ นายสุรเกียรติ์ ขึ้นเบิกความถึงการปล่อยกู้เงิน จำนวน 4 พันล้านบาท ผ่านธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้า
(เอ็กซิมแบงก์) เมื่อปี 2547 นายสุรเกียรติ์จะบอกตรงๆว่า รัฐบาลพม่าได้เสนอวงเงิน 3 พันล้านบาท เพื่อนำไปใช้การพัฒนา โดยไม่มี
การเจรจาความร่วมมือเกี่ยวกับกิจการโทรคมนาคมแต่อย่างใดทั้งสิ้น
ต่อมาภายหลังพม่าขอวงเงินกู้เพิ่มอีก 24 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยระบุจะไปใช้ในกิจการโทรคมนาคม ซึ่งในฐานะ รมว.ต่างประเทศ
เสนอความเห็นต่อรัฐบาลพม่าและ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่เห็นด้วยกับวงเงินกู้เพิ่ม เพราะขณะนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ มีธุรกิจเกี่ยวข้องกับ
กิจการโทรคมนาคม จะเป็นที่ครหาเรื่องผลประโยชน์ขัดกัน ซึ่งทาง พ.ต.ท.ทักษิณ ก็รับทราบและไม่ได้คัดค้านอะไร
ที่สำคัญ !! นายสุรเกียรติ์ ยืนยันว่า ระหว่างที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรีอยู่นั้น นายกฯทักษิณไม่เคยใช้อำนาจหน้าที่จากการดำรง
ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในการกระทำใดๆ ระหว่างการเจรจากับต่างประเทศ เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ทับซ้อนให้กับตนเอง
ให้การกันชัดๆ ขนาดนี้ ออกมาจากปากของคนระดับที่เคยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
รวมทั้งเป็นรองนายกรัฐมนตรีมาแล้ว น่าจะมีน้ำหนักพอที่ บรรดา อดีต คตส. จะลบล้างอคติในใจลงบ้าง
ถ้าหาก คตส.ไม่มีธงจริงๆ หากไม่มีอำนาจที่มองไม่เห็นทำให้เกิด 2 มาตรฐานจริงๆ เดือนมกราคม หรือกุมภาพันธ์ อาจจะเป็นเดือน
ที่ยุติความขัดแย้งจากการทำรัฐประหาร 19 กันยา ก็ได้ต้องจับตาอย่ากะพริบ
**********************************************************
Bangkoktoday 24-12-2009
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
|
|
|
แจ้งลบกระทู้นี้
อ่าน 1434 |
|
แสดงความคิดเห็น |
โดย คนวัวลาย
IP: Hide ip
, วันที่ 24 ธ.ค. 52
เวลา 23:52:31
|