กด like เพื่อติดตามข่าวสารดีๆ จาก cmprice.com VVVVVV
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
© เนื้อหาข่าว/กระทู้
เอเชียไทมส์ออนไลน์/ASTVผู้จัดการรายวัน – ผู้สื่อข่าวต่างชาติที่ทำข่าวให้เว็บไซต์เอเชียไทมส์ออนไลน์ 2 คน นายเคนเนธ ท็อดด์ รูอิซ และ นายโอลิวิเยร์ ซาร์บิล มีโอกาสได้เข้าไปอยู่ในเต็นท์ซุ่มซ่อนตัวของ “นักรบชุดดำ” กลุ่มหนึ่ง ภายในพื้นที่ชุมนุมประท้วงของพวก “เสื้อแดง” เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม หรือ 5 วันก่อนที่กองกำลังฝ่ายรัฐบาลจะบีบกระชับวงล้อม จนทำให้ผู้นำ นปช. ประกาศยุติการชุมนุมที่สี่แยกราชประสงค์ แล้วติดตามมาด้วยการก่อวินาศกรรมเผาอาคารจำนวนมากในกรุงเทพฯ
รายงานข่าวของผู้สื่อข่าวทั้งสอง นอกจากเป็นการยืนยันจากประจักษ์พยานผู้พบเห็นสิ่งต่างๆ ด้วยสายตาตนเอง ว่ากลุ่มนักรบชุดดำ มีตัวตนอยู่จริงๆ แล้ว พวกเขายังให้รายละเอียดชนิดที่ยังไม่มีใครบอกเล่ามาก่อน ทั้งในเรื่องการจัดองค์กร, การซ่อนตัว, และการเตรียมตัวออกปฏิบัติการของสมาชิกกองกำลังลึกลับและเหี้ยมโหดเหล่านี้ ตลอดจนความสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่าง “นักรบชุดดำ” กับพวก “เสื้อแดง”
ASTVผู้จัดการรายวัน ขอแปลเก็บความสำคัญจากรายงานของพวกเขา ที่ใช้ชื่อเรื่องว่า Unmasked: Thailand's men in black ซึ่งเผยแพร่อยู่ในเว็บไซต์เอเชียไทมส์ออนไลน์ www.atimes.com มาเสนอดังต่อไปนี้:
ชายร่างบึกบึนกำยำซึ่งมีเคราที่ถักเป็นกระจุกผู้หนึ่ง เท้าแขนลงบนพนักพิงของเก้าอี้พลาสติก และกรอกคำพูดเข้าไปในวิทยุรับส่งคุณภาพสูงระดับที่ใช้กันในหน่วยทหาร ขณะที่ริมฝีปากของเขายังคงคาบบุหรี่เอาไว้
“แฮปปี้เบิร์ธเดย์” เขาพูดเป็นภาษาอังกฤษ ไม่กี่อึดใจต่อมาก็มีเสียงระเบิดกัมปนาทขึ้นจากจุดที่อยู่ห่างออกไปในเขตใจกลางกรุงเทพฯ-เมืองหลวงของประเทศไทยแห่งนี้ กลุ่มผู้ประท้วงต่อต้านรัฐบาลกลุ่มย่อมๆ ที่อยู่รายล้อมเขาต่างอยู่ในอารมณ์ของความสะใจ พากันตะโกนอย่างพร้อมเพรียงกันว่า “แฮปปี้เบิร์ธเดย์” ในช่วงเวลา 24 ชั่วโมงต่อจากนั้น จะมีการเฉลิมฉลองด้วยการเปล่งรหัสลับทำนองเดียวกันนี้อีกหลายๆ หนทีเดียว
วันเวลาในขณะนั้นคือ 5 วันก่อนวันที่ 19 พฤษภาคม อันเป็นวันที่กองทัพจะส่งยานลำเลียงพลหุ้มเกราะบุกเข้าสู่ใจกลางกรุงเทพฯ เพื่อปราบปรามสลายการยึดครองพื้นที่ของพวกเสื้อแดงอย่างเด็ดขาด
ผู้สื่อข่าวที่เขียนรายงานชิ้นนี้ทั้งสอง กำลังอยู่ภายในเต็นท์หลังหนึ่ง กับพวกสมาชิกกองกำลังกึ่งทหารชื่อเสียงฉาวโฉ่ ซึ่งบรรดาสื่อมวลชนตั้งสมญาให้ว่า “นักรบชุดดำ” ขณะที่นักรบเหล่านี้อยู่ระหว่างการเตรียมตัวเพื่อออกทำศึก
พวกเขาอนุญาตให้เราสองคนเข้าไปข้างในโลกลึกลับของพวกเขาได้โดยตั้งเงื่อนไขเพียงข้อเดียว นั่นคือ ถ้าเราขืนถ่ายภาพใดๆ แล้ว พวกเขาจะฆ่าเราทิ้ง
สมาชิกกองกำลังเหล่านี้ไม่ใช่การ์ดรักษาความปลอดภัยสวมชุดดำตามปกติซึ่งว่าจ้างมาโดย แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กลุ่มประท้วงต่อต้านรัฐบาลที่โดยทั่วไปแล้วจะไม่พกพาอาวุธปืน แต่สมาชิกกองกำลังเหล่านี้เป็นกลุ่มจารบุรุษลึกลับที่มีอาวุธหนักเต็มเพียบ กระนั้น พวกเขาก็มีสายสัมพันธ์เชื่อมโยงอยู่กับบุคคลระดับแกนนำของ นปช. หรือที่รู้จักเรียกขานกันในนามว่า พวกเสื้อแดง ด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ตามคำบอกเล่ายอมรับของกลุ่มคนติดอาวุธเหล่านี้เอง
ในขณะนี้ แกนนำ นปช.หลายต่อหลายคนกำลังถูกรัฐบาลไทยควบคุมตัว และถูกตราหน้าตั้งข้อหาว่าเป็น “ผู้ก่อการร้าย” เมื่อวันพุธ(26) ที่ผ่านมา พวกเจ้าหน้าที่รับผิดชอบของไทยยังได้ออกหมายจับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีผู้หลบหนีไปลี้ภัยอยู่ต่างแดน ด้วยข้อหามีพฤติการณ์ก่อการร้ายเช่นกัน โดยทางการไทยกล่าวหานักการเมืองหนีโทษจำคุกผู้นี้ว่ามีความเกี่ยวพันกับการปฏิบัติการใช้ความรุนแรงของกลุ่มติดอาวุธของ นปช. ตัว พ.ต.ท.ทักษิณนั้นได้ออกมาแถลงปฏิเสธข้อกล่าวหาเหล่านี้อย่างรวดเร็ว
การตกลงกันระหว่างพวกเราสองคนกับนักรบกลุ่มนี้เป็นไปอย่างซื่อๆ ตรงไปตรงมา และถึงแม้พวกเขาจะข่มขู่ว่าอาจจะเอาชีวิตเรา แต่นั่นก็ไม่ได้สกัดกั้นไม่ให้พวกเขารับรองเราอย่างมีมิตรไมตรีแบบไทยๆ มีเพียงชายคนเดียวในกลุ่มนี้เท่านั้นที่ยังคงแสดงน้ำเสียงไม่ชอบใจกับการปรากฏตัวของพวกเรา เขาถามเหล่าสหายของเขาเกี่ยวกับเราสองคน โดยเขาเลือกใช้คำสรรพนามภาษาไทยแทนพวกเราว่า “มัน”
ขณะที่ดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า ณ วันที่ 14 พฤษภาคม เบื้องหลังป้อมปราการที่กำหนดเขตด้วยแนวรั้วเครื่องกีดขวางอันสร้างขึ้นจากไม้ไผ่และยางรถยนต์ ในบริเวณใจกลางของย่านการค้าระดับท็อปแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ ชายเหล่านี้รับประทานบะหมี่ร้อนๆ และพูดกระซิบกระซาบกันอย่างหงุดหงิดกังวลใจเกี่ยวกับพลแม่นปืนของกองทัพ นักซุ่มยิงของฝ่ายทหารกำลังทำให้กลุ่มคนเหล่านี้รู้สึกโกรธเกรี้ยว
ยี่สิบสี่ชั่วโมงก่อนหน้านั้น กรุงเทพฯตกอยู่ในภาวะสับสนอลหม่าน หลังจากที่บุรุษผู้ซึ่งชายเหล่านี้ระบุว่าเป็นผู้ออกคำสั่งต่อพวกเขาโดยตรง นั่นก็คือ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล นายทหารกบฏแห่งกองทัพบก ได้ถูกกระสุนปืนยิงใส่จนล้มคว่ำ (และในที่สุดก็เสียชีวิตลงในเวลาอีกหลายวันต่อมา) ด้วยฝีมือของนักซุ่มยิง ขณะที่ พล.ต.ขัตติยะกำลังพูดกับนักข่าวผู้หนึ่ง ทางฝ่ายรัฐบาลนั้นได้ปฏิเสธเรื่อยมาว่าไม่ได้เป็นผู้รับผิดชอบการลอบสังหารคราวนี้
พล.ต.ขัตติยะ นายทหารนอกแถวนามกระเดื่อง ได้รับการยกย่องนับถือจากพวกเสื้อแดงจำนวนมาก เขามักจะพูดอย่างชื่นชมถึงกลุ่มกองกำลังที่เขาเรียกขานว่าเป็น “นักรบโรนิน” (โรนิน Ronin คือนักรบซามูไรที่ไร้เจ้าไร้มูลนายที่จะสวามิภักดิ์ด้วย) ในเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ เขาคุยอวดกับพวกผู้สื่อข่าวว่า กำลังฝึกอบรมอดีตทหารจำนวนหนึ่งที่ไม่เปิดเผยว่ามีจำนวนเท่าใด เพื่อให้มาทำหน้าที่พิทักษ์คุ้มครองพวกเสื้อแดง แต่ต่อมาเขาก็กลับออกมาปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นผู้นำของอดีตทหารเหล่านี้
เมื่อขาดไร้ซึ่งการนำของ พล.ต.ขัตติยะ เสียแล้ว เห็นได้ชัดเจนว่าระเบียบวินัยภายในป้อมค่ายของพวกเสื้อแดงอยู่ในสภาพเสื่อมทรุด แอลกอฮอล์ถูกนำมาดื่มกินกันอย่างเสรี และกลายเป็นการเติมเชื้อให้เกิดการใช้อารมณ์โกรธขึ้งเข้าใส่กัน รวมถึงการต่อสู้กันด้วยกำปั้น ก่อนหน้านี้ในวันนั้นเอง นักรบโรนินผู้หนึ่งได้ยิงปืนไรเฟิลสังหารแบบ ทาร์-21 (TAR-21) ทำในอิสราเอล ซึ่งยึดมาได้จากฝ่ายทหารเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา เข้าใส่เฮลิคอปเตอร์ของกองทัพลำหนึ่งที่มาบินอยู่เหนือที่ชุมนุม
มีนักรบโรนินหลายๆ คนพยายามเบ่งบารมีเพื่อช่วงชิงฐานะความเป็นลูกพี่ใหญ่ในหมู่กองกำลังนี้ที่ตกอยู่ในสภาพสับสนไร้ระเบียบ แต่ชายไว้เคราผู้แทบไม่พูดอะไรเลยคือผู้ที่กำลังมีบทบาทเป็นผู้สั่งการในเวลานี้ “พวกคุณรู้ไหมใครเป็นผู้รับผิดชอบที่นี่” เขากล่าว “ผมไง”
อย่างน้อยที่สุดก็จะเป็นเช่นนั้นไปจนกระทั่งเมื่อมีผู้บังคับบัญชาที่ไม่มีการระบุชื่ออีกคนหนึ่ง โดยเขาบอกว่าเป็นมือรองจาก พล.ต.ขัตติยะ จะเดินทางมาถึงและรับมอบอำนาจบังคับบัญชาไป รวมทั้งมาสอบถามด้วยว่าทำไมถึงมีพวกนักข่าวเข้ามาปะปนอยู่กับกลุ่มถืออาวุธเหล่านี้
“ไม่ใช่ผู้ก่อการร้าย ไม่ใช้ความรุนแรง มีแต่สันติภาพและประชาธิปไตย” เป็นข้อความในแผ่นป้ายที่แขวนเอาไว้ด้านนอกของแนวเครื่องกีดขวางซึ่งทำจากยางรถที่กองสุมอย่างไม่เป็นระเบียบ อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้คนที่อยู่ข้างในแล้ว มันเป็นความลับที่ทราบกันไปทั่วอยู่แล้วว่ากลุ่มคนถืออาวุธเหล่านี้เป็นใคร เช่นเดียวกับที่ไม่ใช่ความลับอะไรเลยในเรื่องมีระเบิดจำนวนหนึ่งวางเอาไว้ตามแนวเครื่องกีดขวาง และเชื่อมโยงเข้าด้วยกันโดยสายไฟสีทึมๆ สกปรก พร้อมที่จะสร้างความเสียหายอย่างหนักหน่วงแก่ทหารในกองทัพรัฐบาลที่จะยกกำลังบุกเข้ามา
ชายกลุ่มนี้บางคนใส่เสื้อแจ๊กเกตเพื่อช่วยอำพรางอาวุธปืนที่พวกเขาพกพาติดตัวให้มิดชิด ทันทีที่ดวงอาทิตย์ตกดิน หีบห่อรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ห่อคลุมด้วยผ้าพลาสติกสีดำ ก็ถูกขนเข้ามาในเต็นท์ต่างๆ ในบริเวณสวนลุมพินี หีบห่อเหล่านี้มาจากที่ไหนก็ไม่ทราบภายในเขตพื้นที่ชุมนุมประท้วงนี้ พวกเราถูกบอกให้ออกวิ่งโดยก้มศีรษะให้ต่ำๆ โยกย้ายไปอยู่ที่เต็นท์อีกเต็นท์หนึ่งซึ่งอยู่ใกล้ยิ่งขึ้นกับพระบรมราชานุสาวรีย์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 นักรบโรนินจะมีการเคลื่อนย้ายระหว่างเต็นท์ต่างๆ อยู่บ่อยครั้งเช่นนี้แหละ เพื่อไม่ให้มือซุ่มยิงของฝ่ายรัฐบาลติดตามร่องรอยได้
มีชายรวมทั้งสิ้น 27 คนหมอบอยู่ในความมืดภายในเต็นท์แห่งนี้ วิทยุรับส่งหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ ซึ่งมีส่วนที่สามารถสะท้อนแสงต่างถูกคลุมปิดด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ และเราสองคนก็ถูกขอร้องให้ปิดโทรศัพท์มือถือของพวกเรา ชายถืออาวุธคนหนึ่งในกลุ่มนี้บอกว่า ถ้าหากพวกนักแม่นปืนของกองทัพมีโอกาส เพียงแวบแรกที่มองเห็นแสงสะท้อนออกมา ก็จะยิงพวกเขาทิ้งทันที
“ไม่ต้องกลัวหรอก ปลอดภัย แบบไทยๆ น่ะ” พลพยาบาลของพวกเขากล่าวปลอบใจพวกเราสองคนเป็นภาษาอังกฤษ พร้อมกับพยักเพยิดให้ดูผ้าใบกันน้ำหลายๆ ชั้นที่คอยปิดบังไม่ให้มือซุ่มยิงที่อาจจะอยู่ภายนอกมองเห็นถึงพื้นที่ซึ่งพวกเราสองคนกำลังหลบซ่อนตัวอยู่กับพวกเขา
กลุ่มคนเหล่านี้มีไม่ถึงครึ่งหนึ่งที่เป็นกองกำลังกึ่งทหาร พวกเสื้อดำธรรมดาที่เหลือเป็นพวกที่ทำหน้าที่สนับสนุนและจัดหาจัดเตรียมสิ่งต่างๆ ที่พวกถืออาวุธต้องการ บางคนทำหน้าที่ติดต่อประสานงาน คนอื่นๆ จัดหาน้ำ, กาแฟ, เครื่องดื่มชูกำลัง เอ็ม-150 นักรบโรนินเหล่านี้จัดโครงสร้างเหมือนเป็นทหารหน่วยหนึ่งโดยมีทั้งพลวิทยุสื่อสารและพลพยาบาลครบครัน พวกเขาดูน่าจะผ่านการฝึกอบรมเรื่องการใช้วัตถุระเบิดและอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ มาแล้ว ดังเห็นได้จากการที่พวกเขามีความรู้ในการจัดการกับระเบิดพลาสติก ตลอดจนมีความสามารถที่จะวางระเบิดเอาไว้รอบๆ แนวที่ตั้งในแบบที่สามารถจุดชนวนระเบิดจากที่ไกลออกไปได้
ถึงแม้มีสื่อมวลชนบางรายคาดเดาว่า นักรบโรนินเหล่านี้ประกอบไปด้วยอดีตทหารคอมมานโดที่เคยทำหน้าที่สู้รบกับพวกคอมมิวนิสต์ ทว่าสมาชิกกองกำลังที่เราพบเห็น ส่วนใหญ่ต่างยังอ่อนวัยเกินกว่าจะอยู่ในรุ่นอายุขนาดนั้นได้ โดยพวกเขาดูจะยังอยู่ในวัย 20 ต้นๆ กันเท่านั้น จำนวนมากทีเดียวเคยเป็นพลร่มมาก่อน มีคนหนึ่งบอกว่าเขาเคยอยู่กองทัพเรือ แต่ส่วนใหญ่แล้วพวกเขามีรกรากภูมิลำเนาจากพื้นที่ชนบทเดียวกัน เป็นพวกจังหวัดซึ่งเป็นบ้านเกิดของคนเสื้อแดงส่วนข้างมาก หลายๆ คนทีเดียวกล่าวว่าพวกเขายังเป็นทหารประจำการอยู่
ในที่สุดก็มีเสียงวิทยุเรียกเข้ามาจากการ์ดของ นปช.ผู้หนึ่ง กองทัพกำลังประสบความสำเร็จในการเข้าประจำที่มั่นแห่งหนึ่งใกล้ๆ กับสี่แยกประตูน้ำ อันเป็นสี่แยกที่ตั้งอยู่ตรงแนวขอบด้านเหนือของย่านการค้าที่พวกเสื้อแดงยึดครองอยู่ ทหารยังกำลังผลักดันผู้ประท้วงตรงบริเวณนั้น พวกเขาจึงต้องการความช่วยเหลือ
ปืนไรเฟิลสังหารทั้งแบบเอ็ม16 และ เออาร์-15 ถูกนำออกมาจากที่ซุกซ่อนในสภาพที่ห่อด้วยผ้าพลาสติก บางกระบอกก็ถูกนำออกมาจากภายในชุดเครื่องแต่งกายของพวกเขาเอง ภายในเวลาไม่ถึง 10 นาที กลุ่มติดอาวุธเหล่านี้ก็บรรจุกระสุนเข้าไปแมกกาซีน และเสียบแมกกาซีนเข้าที่จนเสร็จเรียบร้อย
กระสุนกำลังเหลือน้อยแล้ว พวกเขาพูดกันเช่นนั้น นักรบแต่ละคนจึงได้รับกระสุนติดตัวคนละไม่เกิน 30 นัด ถึงแม้เราจะไม่ได้เห็นเครื่องยิงระเบิดเอ็ม79 แต่ก็ได้ยินพวกนักรบโรนินพูดคุยกันถึงกระสอบบรรจุลูกระเบิดใบใหญ่เทอะทะที่พวกเขากำลังถืออยู่ เมื่อเวลาเคลื่อนผ่านเลย 3 ทุ่มไปนิดเดียว นักรบทั้ง 12 คนก็พากันลุกขึ้นและรีบเร่งออกไปอย่างเงียบๆ เพื่อเข้าสู่ความมืดมิดของรัตติกาล กระทำหน้าที่ในการสร้างความบาดเจ็บล้มตายและในการหว่านเพาะความปั่นป่วนวุ่นวายอีกวาระหนึ่ง
ระยะเวลา 9 ชั่วโมงถัดจากนั้น เสียงยิงปืนแผดก้องปะทุขึ้นจากพื้นที่ต่างๆ รอบๆ อาณาบริเวณของเขตเสื้อแดง แรกทีเดียวจากทิศทางของสี่แยกประตูน้ำ ต่อมาก็จากจุดต่างๆ ตามแนวถนนพระราม 4
ยุทธวิธีของพวกเขาสอดคล้องกับพวกนักรบจรยุทธ์และมือซุ่มยิงที่ผ่านการฝึกอบรมมา นั่นคือระดมปล่อยกระสุนปืนออกไปเป็นชุดสั้นๆ จากนั้นก็ย้ายที่กำบังตัว พวกเขาสร้างความทุกข์ทรมานให้ทหารของกองทัพไทยซึ่งเป็นพวกที่ได้รับการฝึกแบบธรรมดาๆ อยู่ตลอดทั้งคืน วนเวียนตามรังควาญพวกเขาและไม่ยอมให้พวกเขาได้นอนหลับพักผ่อน
เมื่อถึงเวลา 6 โมงเช้าของวันที่ 16 พฤษภาคม พวกเขาก็เดินอาดๆ กลับเข้ามาในที่มั่น โดยได้รับการยิงคุ้มกันจากบั้งไฟยักษ์ ท่ามกลางเสียงเชียร์ของคนเสื้อแดงที่มารวมตัวกัน นักรบเหล่านี้ซึ่งมีท่าทางเหนื่อยอ่อยอย่างเห็นชัดทว่าประดับรอยยิ้มของผู้พิชิต ต่างขนต่างแบกข้าวของที่ช่วงชิงเอามาได้ในคืนนั้น เป็นต้นว่า เสื้อเกราะ, โล่ปราบจลาจล, ไม้กระบอง, หมวกเหล็ก, ไฟฉาย, และสิ่งของอื่นๆ ที่ได้มาจากกองกำลังความมั่นคงของไทย บางชิ้นพวกเขาก็แจกจ่ายให้แก่ผู้ที่มารุมล้อมในฐานะเป็นของที่ระลึก
ถ้าหากสมรภูมิช่วงชิงกรุงเทพฯคราวนี้ ให้ความสำคัญกับการรณรงค์เอาชนะหัวจิตหัวใจ เพื่อให้ได้รับความสนับสนุนจากประชาชนในวงกว้างแล้ว การกระทำของพวกโรนินก็คือการทำลายจิตวิญญาณอหิงสาไม่ใช้ความรุนแรง ซึ่ง นปช.อ้างว่าเป็นหลักการในการดำเนินการต่อสู้ของพวกเขา
นักรบโรนินพูดถึงจุดประสงค์ของพวกเขาว่า เพื่อ “พิทักษ์คุ้มครอง” ผู้ชุมนุมประท้วง และเพื่อเตรียมพร้อมที่จะทำหน้าที่เป็น กองกำลังซึ่งจะทำให้ฝ่ายเสื้อแดงมีความทัดเทียมกับกองกำลังความมั่นคงของไทย พวกเขามองตัวเองเป็น “เทวดาองค์ดำ” ซึ่งกำลังระแวดระวังภัยให้แก่พวกเกษตรกรและครอบครัวที่ปราศจากอาวุธ อันประกอบขึ้นเป็นผู้คนพลพรรคส่วนใหญ่ของฝ่ายเสื้อแดง
ถึงแม้วาดภาพลักษณ์ตนเองเอาไว้อย่างองอาจกล้าหาญเช่นนี้ แต่เทวดาเหล่านี้ก็ก่อให้เกิดความตายและความวุ่นวายปั่นป่วน เชื่อกันว่าการรณรงค์ด้วยความรุนแรงของพวกเขาทำให้ชีวิตผู้บริสุทธิ์จำนวนหนึ่งต้องด่าวดิ้นลง รวมทั้งเป็นไปได้ว่าเป็นชนวนกระตุ้นให้ผู้คนอีกหลายสิบต้องพบกับความตายไปด้วย
(เก็บความและตัดตอนจากเรื่อง Unmasked: Thailand's men in black โดย Kenneth Todd Ruiz และ Olivier Sarbil เคนเนธ ท็อดด์ รูอิซ เป็นนักหนังสือพิมพ์อิสระที่พำนักอยู่ในกรุงเทพฯ และมีบล็อกอยู่ที่เว็บไซต์ reporterinexile.com ส่วน โอลิวิเยร์ ซาร์บิล เป็น นักถ่ายภาพข่าว (photojournalist) ผลงานภาพเกี่ยวกับเหตุการณ์ช่วงหลังๆ นี้ในเมืองไทยของเขา เผยแพร่ทางออนไลน์อยู่ที่เว็บไซต์ OlivierSarbil.com)
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
|
|
|