กด like เพื่อติดตามข่าวสารดีๆ จาก cmprice.com VVVVVV
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
© เนื้อหาข่าว/กระทู้
วีระ ชี้แจง เหตุพันธมิตรแตก แกนนำขัดแย้งเรื่องเงินบริจาค
24 มิย. รายงานข่าวแจ้งว่า เว็บไซต์ข่าวหนังสือพิมพ์ ดิ เอเชียน แปซิฟิค สื่อสิ่งพิมพ์ของคนไทยในสหรัฐอเมริกา รายงานข่าวกรณี นายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชั่น ขัดแย้งเรื่องเงินบริจาคกับแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อ ประชาธิปไตย มีเนื้อหาดังนี้
วีระ สมความคิด ยันไม่ได้ขัดแย้งกับพันธมิตรฯ เผยสนธิ ลิ้มทองกุล ชวนไปอย่มูลนิธิเพื่อแผ่นดินแต่ต้องการรักษาองค์กรไว้ ชี้แจงเหตุถูกกล่าวหาว่ามีบ้านราคา 20 ล้านที่ภาคเหนือรวมทั้งบ้านในนวธานีเป็นของครอบครัว ลุยงานต้านคอร์รัปชั่นจนเมียขอแยกทาง
เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน เวลา 13.00 น.ที่ Rosemead Community Center เลขที่ 3936 N. Muscatel Ave., Rosemead, CA 91770 คณะกรรมการจัดงาน ′สานใจรวมพลังไทยเพื่อชาติ′ ได้จัดให้นายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชั่น มาพูดคุยถึงเรื่องเมืองไทยในหัวข้อ ′สถานการณ์และก้าวต่อไปของประเทศไทย′ โดยนายวีระกล่าวถึงสถานการณ์และความเป็นไปต่างๆของประเทศ ความเหลื่อมล้ำต่ำสูงและการกระจายรายได้ไม่เป็นธรรม ปัญหาเรื่องเอกราชของประเทศบริเวณปราสาทพระวิหาร การคอร์รัปชั่นที่ยังดำรงอยู่ ฯลฯ
ในช่วงที่ 2 นายวีระเปิดให้สอบถาม โดยคณะกรรมการจัดมอบหมายให้นายอรรคเดช ศรีพิพัฒน์ บ.ก.นสพ.สยามมีเดียและนายสมเจตน์ พยัฆค์ฤทธิ์ บก.นสพ.เสรีชัยเป็นผู้รวบรวมคำถามเพื่อแยกแยะไม่ให้ซ้ำซ้อน อาทิเช่น ปัญหาเรื่องเกิดอะไรขึ้นกับนายวีระกับกลุ่มพันธมิตรฯ และเอเอสทีวีที่ไม่มีรายการค้นคนโกง ตลอดจนคำถามว่าได้แยกทางกับนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรแล้วหรือ
นายวีระตอบติดตลกว่าไม่ได้แยกทางกันเพราะเขาไม่เคยแต่งงานกันนายสนธิ “คุณสนธิอาจเข้าใจผิดและไม่ได้ให้โอกาสผมชี้แจง พี่ธิอยากให้ผมลาออกจากเครือข่ายฯและไปทำงานด้วยที่มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน แต่ผมทำงานเกี่ยวกับการต่อต้านทุจริตมา 20 ปีจึงไม่อยากอยู่ภายใต้องค์กรใดเพราะจะทำให้ถูกครอบงำและเสียจุดยืนได้”
นาย วีระเล่าว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะตนได้ให้ภรรยาคนขับรถออกจากงาน จึงถูกนำไปโพทนาว่าตนร่ำรวยจากเงินบริจาคไปซื้อบ้านที่ภาคเหนือ 20 ล้านบาท แถมยังมีบ้านที่หมู่บ้านนวธานีมีรถยนต์อีก 5 คัน ความจริงแล้วที่ภาคเหนือตนได้พากลุ่มพันธมิตรไปพักบ้านหลังหนึ่ง จากนั้นก็ถูกหาว่าเป็นบ้านของตน “หากผมพาใครมานอนบ้านที่แอล.เอ. ต่อไปก็คงบอกสิว่าผมมีบ้านที่แอล.เอ.หลังละ 1.7 แสนดอลลาร์” นายวีระ กล่าว
สำ หรับบ้านนวธานีนั้นเป็นบ้านของครอบครัวที่พ่อของตนซึ่งเป็นนักธุรกิจ ซื้อไว้ตั้งแต่ปี 2519 อยู่กันมานานจนบ้านผุพังแล้วกำลังปรึกษากันว่าจะรื้อลงเพื่อสร้างใหม่หรือจะ ซ่อมแซม ส่วนเรื่องรถยนต์ 5 คันในบ้านนวธานีก็ไม่น่าเป็นเรื่องแปลกเพราะตนมีพี่น้องอยู่ 5 คนทุกคนก็ทำธุรกิจกัน
นายวีระเปิดเผยว่าตั้งแต่ทำงานมา ตนไม่เคยขอรับบริจาคใช้ทุนของตัวเองทำ งานจนกระทั่งพี่สาวที่ทำธุรกิจด้วยกันทนไม่ไหว อีกทั้งภรรยาที่แต่งงานกันมาตั้งแต่ปี 2535 ต้องมาขอหย่าและหย่ากันในปี 2546 เพราะตนไม่ได้ทำงานไม่มีเงิน แต่เมื่อทุกคนเห็นผลงานของตนจึงได้บริจาคให้มาต่อสู้
“เงินที่ได้มาผม ก็นำไปใช้ตามวัตถุประสงค์ทุกประการ อย่างเช่นนำคนขึ้นไปเขาพระวิหาร ต้องใช้ 7 แสนบาททั้งการจ้างรถยนต์,เครื่องเสียง,จ้างการ์ดมืออาชีพเพื่อที่จะรับมือ กับกลุ่มที่มาก่อกวนหรือทำร้ายพี่น้องประชาชน ค่าน้ำมันรถ ค่าอาหารการกินของผู้ที่ร่วมเดินทางไปด้วย แม้กระทั่งที่พักที่ศีรษะอโศกเมื่อไปใช้เป็นที่นอนก็ต้องจ่ายให้ด้วย นี่คือค่าใช้จ่าย” นายวีระ กล่าว
นายวีระกล่าวอีกว่าเมื่อปี 2543 ตนต้องใช้เงินตัวเอง 1 ล้านบาทมาสู้คดีที่ถูกพลตรีสนั่น ขจรประศาสน์ ฟ้องร้องแต่ก็ภูมิใจเพราะทำให้พลตรีสนั่นถูกเว้นวรรคการเมืองได้ 5 ปีและสู้มาถึง 11 ปี ล่าสุดก็เป็นคนที่นำคดีพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ข้นฟ้องร้องทำให้ติดคุกในคดีที่ดินรัชดาฯ
นายวีระยังเปิดเผยว่าเมื่อ ตนจับแต่ละคดีก็มีผู้มาเสนอให้ล้มเลิก มีการเสนอมาไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท หากตนคิดชั่วทำไมไม่รับเงินเป็น 100 ล้านบาท จะมาโกงเงินบริจาคจากพี่น้องประชาชนทำไม เรื่องนี้ตนไม่เคยคิดที่จะรับเงินหรือคิดจะโกงเงินใครทั้งสิ้น
กรณีเอ เอสทีวีนั้น นายวีระชี้แจงว่า จำเป็นต้องเลิกรายการค้นคนโกงไปเพราะในช่วงหลังทางทีวีไม่ขึ้นหมายเลขบัญชี ที่ขอรับบริจาคทำให้ไม่มีเงินดำเนินการต่อ อีกทั้งทีมงานของตนก็ไม่ทำ เรื่องนี้ไม่ได้มีใครมาบีบบังคับหรือเชิญออกแต่มันทำไม่ได้ไปโดยปริยาย รายการนี้ทำที่เอเอสทีวีครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 6 ก.พ. 2553
อย่างไร ก็ตามนายวีระเปิดเผยว่าได้ย้ายรายการค้นคนโกงไปทำที่ทีวีสยามไท นอกจากนี้ยังได้รับข้อเสนอจากสันติอโศกให้ไปทำรายการทีวีแต่ต้องเป็นรายการ ธรรมะและไม่สามารถขึ้นหมายเลขบัญชีรับบริจาคได้เพราะเป็นกฎของสันติอโศกซึ่ง ตนก็ยินดีผลิตรายการให้ด้วยความเต็มใจ
ขณะเดียวกัน มีรายงานข่าวจากกลุ่มพันธมิตรฯ ว่า นายวีระ สมความคิด ยังเป็นเพื่อนร่วมอุดมการณ์เป็นเพื่อนร่วมรบตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา แม้กระทั่งการชุมนุมในช่วงระยะเวลา 193 วันนั้น ก็ไม่ได้มีการกีดกันการขึ้นเวทีของนายวีระแต่อย่างใด ทุกวันนี้ก็ยังมองนายวีระเป็นเพื่อนเหมือนเดิม แต่วิธีการทำงานแตกต่างกันเพราะทุกอย่างที่ออกไปจะต้องมาจากการตัดสินใจร่วม กันของกลุ่มพันธมิตรฯ ไม่ได้ทำแบบคนเดียว
แหล่งข่าวกล่าวว่ากลุ่ม พันธมิตรฯได้นำเรื่องมาแจ้งให้นายวีระทราบว่า เครือข่ายประชาชนต่อต้านการคอร์รัปชัน(คปต.)ได้เคยติดต่อมาว่าเงินบริจาคที่ นายวีระรับไปนั้นไม่เคยนำเข้าบัญชีคปต. ที่นายวีระเป็นผู้บริหารคนหนึ่ง “เรานำไปแจ้งในฐานะเป็นผู้สื่อสาร มิได้ไปสร้างความกดดันใดๆทั้งสิ้น เพราะคุณวีระมักจะพูดเสมอว่าเงินที่ประชาชนบริจาคให้คุณวีระนั้น เป็นเงินบริสุทธิ์ และบริจาคให้คุณวีระโดยตรง เพราะฉะนั้นคุณวีระจะเอาไปใช้อะไรก็ได้”
ต่อมานายวีระได้ไปจัด รายการ”ค้นคนโกง”ใน ASTV รวมทั้งเปิดตัววิ่งบนจอโทรทัศน์เชิญชวนให้ประชาชนบริจาคเข้าบัญชีส่วนตัวของ นายวีระ ทางเอเอสทีวีจึงอยากให้นายวีระทำด้วยความโปร่งใส โดยทำภายใต้มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินที่คนบริจาคสามารถระบุได้ว่าเป็นกองทุนนาย วีระเพื่อต่อสู้เรื่องเขาพระวิหาร หรือเพื่อต่อสู้เรื่องการคอร์รัปชัน ฯลฯ เป็นต้น
ทั้งนี้กองทุนลักษณะนี้มีอยู่ภายใต้มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินมี 2 กองทุนคือ
1. กองทุนรักษาพยาบาลผู้ได้รับบาดเจ็บ ซึ่งมีนายพิภพ ธงไชย เป็นผู้ดูแลกองทุนนี้ แต่ผู้เดียว การตัดสินใจอยู่ที่นายพิภพเท่านั้น
2.กองทุนสู้คดี ซึ่งนายสุวัตร อภัยภักดิ์ เป็นผู้ดูแล และมีอำนาจตัดสินใจแต่ผู้เดียวเช่นกัน
แหล่ง ข่าวเปิดเผยว่า เมื่อเสนอไปเช่นนี้นายวีระตอบปฏิเสธ แต่ยังดำเนินรายการที่ ASTV ต่อไป ทำให้ ASTV ปฎิเสธที่จะให้มีตัววิ่งที่ระบุว่าให้บริจาคโดยตรงกับนายวีระเพราะ ASTV เกรงว่า หากวันข้างหน้ามีคำถามเรื่องความโปร่งใสในเงินบริจาคของนายวีระแล้ว ASTV จะกลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด ในการระดมเงินประชาชนมาให้นายวีระ
“ทำให้ คุณวีระไม่พอใจ ทำหนังสือแจ้งความจำนงมาว่า ขอถอนตัวออกจากการจัดรายการที่ ASTV” แหล่งข่าวกล่าวและว่า ต่อมานายวีระได้ไปติดต่อสมณโพธิรักษ์แห่งสันติอโศก เพื่อขอจัดรายการที่ FMTV ของสันติอโศก โดยให้เหตุผลว่า ASTV คิดเงินค่าเวลานายวีระแพง
แหล่ง ข่าวกล่าวว่า นอกจาก ASTV จะไม่เคยคิดราคาค่าเวลากับนายวีระแล้ว ยังจัดพิธีกรมาช่วยดำเนินรายการ อีกแรงหนึ่งด้วย “นี่คือข้อเท็จจริง”แหล่งข่าวกล่าว
อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวจากพันธมิตรฯ แจ้งว่า ไม่อยากให้เรื่องนี้อื้อฉาวออกไปเพราะปัจจุบันเมืองไทยก็แตกแยกกันมากอยู่ แล้ว แต่ก็จำเป็นต้องพูดออกมาบ้างเพื่อให้คนทั่วไปได้เข้าใจว่าการทำงานจะต้องทำ เป็นทีมเป็นกลุ่มรวมศูนย์ ตรวจสอบได้ไม่ใช่เป็นลักษณะของวีรชนเอกชน
ขอบคุณเนื้อหาข่าวจาก http://www.apacnews.net/newspages1_2010/weera488.htm
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
|
|
|