• ก่อนจะเปิดอ่าน ทำใจให้เป็นกลาง คิดแง่บวกก่อน แล้วก็จะรู้ |
โพสต์โดย อยากจะพูด , วันที่ 01 มิ.ย. 54 เวลา 03:17:57 IP: Hide ip |
กด like เพื่อติดตามข่าวสารดีๆ จาก cmprice.com VVVVVV
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
© เนื้อหาข่าว/กระทู้
ต้องบอกก่อนว่า ผมเป็นคนไทยคนหนึ่งที่มีสิทธิ์และเสียงตาม รัฐธรรมณูญ เป็นคนไทยหัวใจไทย ไม่แบ่งพรรคพวก ว่ากันด้วยเหตุผล ว่ากันด้วยความถูกต้องและเคารพสิทธิ์คนอื่นของคำว่าระบอบประชาธิไตย ก็เลยอยากจะมาแสดงความเห็นไว้ให้อ่าน แต่ขอให้อ่านอย่างมีสติ เปิดใจ ลองคิดตามอย่างมีเหตุผล อาจจะมีคนอ่านที่เห็นแตกต่างก็สิทธิ์ของคนอ่าน
ผมก็สนใจการเมืองเหมือนคนอื่น แต่ก็ไม่ได้มกมุ่นจนลืมคิดถึงเรื่องความถูกผิด ความเหมาะสมต่าง ๆ ตั้งแต่สมัยก่อนมาสิบกว่าปี การเมืองไทยก็มีทั้งซื้อเสียงขายเสียงกันมาตลอด แข่งขันกันตามกติกา แต่ก็ยังมีทุจริต แต่เกมส์การเมืองก็จะจบลงอย่างสันติ แต่นับถอยหลังไปไม่นานมานี้การเมืองก็เริ่มเป็นรูปแบบเชิงธุรกิจ เริ่มจะสร้างความแตกแยก ของคนในชาติ นำเอาประชาชนมาเป็นเครื่องมือทางการเมืองจนต้องนองเลือด เพียงเพื่อประโยชน์ส่วนตัวเอง คืออำนาจ ซึ่งบรรยากาศแบบนี้มันไม่ควรเกิดในเมืองไทย แต่ก็ทำให้เกิดขึ้น พยายามสร้างพรรคพวก กำจัดคู่แข่งทุกวิถีทาง ไม่ว่าจะด้วยเงิน หรือสิ่งอื่นมากมาย โดยเฉพาะข้อมูลที่ส่วนมากจะหนักไปทางหลอกลวงให้หลงเชื่อซะส่วนใหญ่ จนทำให้คนฟังลืมใช้เหตุผล คิดไปว่าสิ่งที่กำลังทำผิดหรือถูก หรือกำลังละเมิดสิทธิ์ของคนอื่น ๆ ในระบอบ ประชาธิปไตย ที่พูดออกมาเต็มปากกัน ที่ผมบอกว่าใช้ประชาชนเป็นเครื่องมือเพื่ออำนาจของตัวเองนั้น ก็มองง่าย ๆไม่ต้องใช้ความรู้อะไรมาประกอบ การชุมนุมไม่ว่ากลุ่มไหนที่ก่อเกิดความเดือดร้อนใหญ่หลวง โดยใช้อำนาจต่อรองคือกลุ่มประชาชน นำคนไปชุมนุมทุกครั้งไม่ได้ไปเพื่อเรียกร้องให้แก้ไขเรื่องความเป็นอยู่ของประชาชนเลย อย่างจริงใจ แต่ไปด้วยจุดหมายอย่างอื่นอ้างนั่นอ้างนี้ ลองถามตัวเองถ้าคนที่ไปประท้วงกับเขามาบ้างเดือดร้อนหรือเปล่าเรื่องไหนที่ไป??แล้วได้ขอสรุปกับมาอย่างไร ลองเทียบกับการปิดถนนประท้วงของชาวบ้าน ชาวสวน ที่รวมตัวกันเพราะเดือดร้อนจริง ๆ เช่น ข้าวราคาตกต่ำไม่ยุติธรรม ถูกเอาเปรียบ ผู้นำก็คือผู้ที่เดือดร้อนรับทราบปัญหาแท้จริงของชาวบ้านจุดประสงค์เพื่อประโยชน์และสะท้อนปัญหาที่แท้จริง ไม่ใช่เพื่อเสแสร้ง หรือเพื่อคนใดคนหนึ่ง และที่ออกมาประท้วงเพราะเขาไม่ม่สิทธิ มีเสียงในสภา เหมือน สส. แต่ที่เจ็บใจที่เห็นมาตลอด การที่ ผู้ที่เป็น สส. ระดมคนมาประท้วงขอใช้ความว่า ระดมคน ไม่ว่าใคร สส ของพรรคไหน ลองพิจารณาดูว่าที่ยกตัวอย่างมันต่างกันขนาดไหน แล้วระดมคนมาประท้วงในสิ่งที่ไม่ใช่เป็นไปตามระบอบของประชาธิปไตย พยายามสร้างสิ่งที่เลวร้ายให้เกิดในสังคม สร้างความแตกแยก นี่หรือ สส. ลองไปอ่านหน้าที่ สส. และจิตสำนึกจของคนที่เป็น สส. ว่าสมควรที่จะเป็น สส. ไหม
แต่ที่เจ็บใจไปกว่านั้นก็การทำลายบ้านเมืองของตัวเอง สส. มีปากเสียง มีสิทธิ์ในสภาทำไมไม่เคารพในกฏหมาย เคารพในระบอบ วิถีแห่งประชาธิปไตยที่พูดอ้างอย่างเต็มปาก ส่วนคนที่มาประท้วงกันข้างถนน คือเขาไม่มีสิทธิ์ ไม่มีเสียงในสภา และเขาก็มาด้วยความเต็มใจ และสะท้อนปัญหาที่เกิดขึ้นจริงของกลุ่ม
และกลุ่มคนทั้งหลายที่เป็น สส. ก็ฟันธงกันไปเลยคือกลุ่มคนชั้นกลาง นักธุรกิจ มีเงิน มีอำนาจ ที่ไม่เคยมาคลุกคลีกับคนในพื้นที่จริง ๆ แล้วเรานั่นแหล่ะที่ไม่เคยเปิดโอกาสให้คนที่ไม่ใช่ตะกูลนักการเมือง คนไม่มีเงิน แต่เขามีความรู้ มีความตั้งใจ ที่จะทำจริง มาเป็น สส. เลย สุดท้าย เมื่อนักธุรกิจ มาเป็น สส. ก็คิดดูว่าวิสัยของนักธุรกิจ คือทำธุรกิจต้องมีกำไร แล้วอย่างนี้ที่อ้างกันว่าช่องว่างของสังคมห่างกัน แล้วถ้ายิ่งแบ่งพรรค แบ่งพวก มันไม่ยิ่งต่างกันไปอีกหรือ แล้วเรายังอยากจะเห็นการเมืองเป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ หรือครับ เราพลังของทุก ๆ คนเปลี่ยนการเมืองได้ โดยไม่ต้องมีใครมาชี้นำ
อีกเรื่องที่อยากจะให้ได้คิดกัน เรื่องนโยบายประชานิยม ด้วยความเห็นส่วนตัวและที่อ่าน ๆ ประวัติของประเทศที่พรรคการเมืองได้รับชัยชนะจากนโยบายประชานิยม บทสรุปสุดท้ายก็คือประเทศเกือบตาม แต่ด้วยมุมมองของคนไทยอาจจะแตกต่างไป เพราะการที่ได้รับ เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเร็ว แต่ไม่ได้คิดผลกระทบอื่น ๆ ก็ต้องยกเครดิตให้คนทำ ไป แต่ทุกอย่างก็จะมีข้อดีข้อเสีย ก็ขอเล่าเลยแล้วกัน
ประชานิยม แปลกง่าย ๆ ทำอย่างไรก็ได้ที่ให้ประชาชนจับต้องได้เลย เห็นผลได้เลย ถ้าเปรี่ยบเทียบงานคือผักชีโรยหน้า แต่ด้านในเต็มไปด้วยปัญหา ที่กล้าพูดก็เพราะเห็นนโยบายหลาย ๆ อย่างที่หาเสียงกันกันปราวๆ เต็มบ้านเต็มเมืองตอนนี้ ให้ซื้อของบ้าง เอาสิ่งนั้นสิ่งนี้มาล่อทุกกลุ่มที่คิดว่ามีผลต่อการได้มาซึ่งการเป็นรัฐบาล มันเป็นการหาเสียงโดยวิธีทางการตลาด ตอนนี้ฟังธงง่าย ๆ ว่า การหาเสียงคือส่วนหนึ่งของธุรกิจการเมือง แล้วผลเสียของประชานิยมที่เห็นได้ชัดเจนนึกภาพ จินตนาการง่าย ๆ ต้องใช้เงินจำนวนมาก นั้นก็ไม่พ้นเงินได้ของรัฐ จนกระทบเงินคงคลังของประเทศ คือรัฐบาลนั้นให้ และทำให้เห็น อย่างเดียวอย่างอื่นไม่ต้องพูดถึงผลที่ตามมา ขอให้ประชาชนเห็น แล้วได้ก็พอล่ะ แล้วประชานิยมเป็นช่องทางคอรัปชั่นอันมหาศาล โดยเฉพาะคำว่าเมกะโปรเจ็คระดับ หมื่นล้าน แสนล้าน รวมหัวคอรัปชั่นไม่กี่ร้อยล้านสบาย แล้วเร่งให้ปรเจ็คเสร็จยิ่งต้องอัดเงินเข้าให้เต็มที่ มีเงินรัฐมีเท่าไหร่ใช้ให้ได้มาซึ่งผลงาน สุดท้ายถ้าเงินรัฐมีปัญหาเหมือนขาดสภาพคล่องก็ต้องมีมาตรการการเร่งรัดเก็บภาษีแบบอัตราก้าวหน้าบ้าง ที่เคยเดอดร้อนกันมา หรือช่องทางต่าง ๆ หลายอย่างที่จะกระทบกับความเป็นอยู่ของประชาชน แบบเงียบ ๆ ที่เรามองไม่เห็น เช่น การเอาธุรกิจของรัฐ ไปเป็นรูปแบบบริษัทบ้าง ซึ่งคนที่ลำบากก็คือประชาชน ไฟราคาแพง น้ำราคาแพง นี่แหล่ะครับ ซึ่งตอนนี้ยังมาไม่ถึง แต่ก็มีคนชอบแบบนี้กันได้ ได้ ได้
แต่ที่เอ็นดู พรรคไหนที่มาเป็นรัฐบาลหลังพรรคที่ใช้ประชานิยม แย่แน่นอน เมื่อตรวจสอบเงินคงคลัง ก็จะนั่งทำใจลำบาก ผลงานไม่มีแน่นอน สิ่งที่ต้องทำคือต้องสร้างเสถียรภาพของการเงินรัฐให้ได้ เก็บเงินให้ยู่ในภาวะที่สมดูล ซึ่งต้องใช้เวลา โดยหนักทั้งไม่มีผลงาน ทั้งบริหารประเทศไม่ได้เต็มที่ ซึ่งคนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจ ไม่ได้มองแบบนี้เลย ถ้าหมดยุค พรรคอื่นมาเป็นเหมือนชุปมาเปิบ ทำอะไร คิดอะไรได้สบาย รัฐบาลก่อนหน้าอาจจะโดนด่าอีกมาเป็นรัฐบาลแล้วไม่มีผลงาน
ทุกวันนี้ นักการเมืองหลาย ๆ คนก็พูดอยู่แล้วว่า อาชีพนักการเมือง ก็ลองคิดกันว่าคำว่าอาชีพนักการเมืองมีอะไรแฝงบ้าง สุดท้ายฝากไว้จะเลือกใครเป็น สส. ก็ตรึกตรองกันก่อนกากบาท เปิดใจกันสักนิด คิดอย่างมีเหตุผล เขาที่เราจะเลือกนั้นจะเป็นปาก เป็นเสียง สะท้อนปัญหาเดือดร้อนเราได้จริงหรือไม่ แล้วไม่ทำให้บรรยาศสของสังคมมันหม่นหมอง คนในสังคมแตกแยก เป็นศัตรูกัน เรามาช่วยกันดีกว่าครับเปลี่ยนการเมืองไทย ด้วยปายปากกาของเราทุกคน
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
|
|
|
แจ้งลบกระทู้นี้
อ่าน 1585 |
|
แสดงความคิดเห็น |
โดย อยากจะพูด
IP: Hide ip
, วันที่ 01 มิ.ย. 54
เวลา 03:17:57
|