เลข 8 เป็นเลขที่มีความหมายดีในบางวัฒนธรรม และก็เป็นเลขที่แฝงความหมายทางร้ายในบางวัฒนธรรมด้วยเช่นกัน ปีนี้อาจถือได้ว่าเป็นอีกครั้งหนึ่งที่วงการอินเทอร์เน็ตมีความเปลี่ยนแปลงหลายประการ ทั้งในแง่ของความรวดเร็วในการเชื่อมต่อ ความแพร่หลายของพื้นที่ให้บริการ และคอนเทนต์ใหม่ ๆ ในทางตรงกันข้าม อินเทอร์เน็ตก็ถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อเผยแพร่ความรุนแรงรูปแบบต่าง ๆ เท่าที่มนุษย์เราจะพึงกระทำได้ เช่น อบรมการก่อการร้าย เผยแพร่คลิปอนาจาร ด้วยเช่นกัน ซึ่งผลพวงเหล่านี้ได้ทำให้มนุษย์จำนวนหนึ่งมีพฤติกรรมเปลี่ยนไป เพราะหลงยึดติดกับโลกเสมือนจริงมากจนเกินเหตุ เมื่อประมวลผลเหตุการณ์ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมาแล้ว เราขอสรุปภาพเหตุการณ์หลัก ๆ ของวงการอินเทอร์เน็ตประจำปี 2006 ดังต่อไปนี้ แนวโน้มดี ๆ 4 ประการ 1. ยักษ์ใหญ่ช่วยต่อเน็ตให้คนยากจน เริ่มต้นกันด้วยแนวโน้มในเชิงบวกที่เราเห็นว่าสร้างประโยชน์ให้ชาวโลกได้มาก นั่นคือ การได้เห็นยักษ์ใหญ่ในวงการไอทีหลายค่าย ไม่ว่าจะเป็น ไมโครซอฟท์ อินเทล กูเกิล เอเอ็มดี ฯลฯ เจียดงบประมาณส่วนหนึ่งเอามาพัฒนาเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในประเทศยากจน เพื่อให้ประชากรในประเทศเหล่านั้นสามารถใช้อินเทอร์เน็ตศึกษาหาความรู้ได้อีกทางหนึ่ง ซึ่งนอกจากจะลงทุนสร้างเครือข่ายอินเทอร์เน็ตให้แล้ว หลายครั้ง ยังส่งทีมงานลงไปช่วยอบรมเทคนิคในการใช้งาน และร่วมด้วยช่วยพัฒนาคอมพิวเตอร์ราคาถูกไปพร้อม ๆ กัน กับแนวคิดริเริ่มดังกล่าว อย่างน้อยที่สุดก็ต้องขอปรบมือให้อย่างจริงใจ เพราะไม่ว่าอย่างไร ยักษ์ใหญ่เหล่านี้ก็ได้ช่วยเปิดมุมมองการเรียนรู้ให้กับคนในประเทศด้อยพัฒนาได้อีกมาก นอกเหนือจากงบประมาณที่ภาครัฐของแต่ละประเทศจะได้จัดสรรมา 2. คอนเทนต์ 2006 ที่ประชาชนฝันถึง ทิศทางด้านบวกของวงการอินเทอร์เน็ตอันดับที่สองเป็นผลสืบเนื่องมาจากข้อแรก โดยเป็นเรื่องของข้อมูลความรู้ต่าง ๆ ที่อัดแน่นอยู่เต็มพื้นที่โลกออนไลน์ใบน้อย ๆ ยิ่งมาในปีนี้ เว็บไซต์ต่าง ๆ พากันเปิดตัวบริการใหม่ ๆ เช่น บริการหนังสือออนไลน์ของไมโครซอฟท์ที่เสร็จสมบูรณ์แล้ว บริการเยี่ยมชมดาวอังคารแบบเสมือน - บริการแผนที่ออนไลน์จากกูเกิล พจนานุกรมออนไลน์ สารานุกรมออนไลน์ บริการฉายภาพยนตร์ในอดีตผ่านอินเทอร์เน็ต บริการข้อมูลจราจรออนไลน์ ตลอดจนสื่อสำนักต่าง ๆ ที่ร่วมขบวนเปิดสำนักข่าวบนอินเทอร์เน็ตกันมากมาย เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นความรู้ที่นักท่องเน็ตสามารถค้นหาได้ตลอด 24 ชั่วโมง
|
3. เมื่อไอทีดึง VoIP มาทำเงินได้ ปี 2006 ใครที่บอกว่ายังไม่รู้จัก VoIP (Voice over Internet Protocol) คงต้องบอกว่าเชยมาก แต่ก็ยังไม่สายถ้าจะทำความรู้จักกับเทคโนโลยีดังกล่าว VoIP เป็นเทคโนโลยีในการส่ง"เสียง"ผ่านอินเทอร์เน็ต ซึ่งมีการใช้งานมาสักระยะหนึ่งแล้ว แต่ที่จัดเป็นข่าวดีสำหรับคนไอทีปีจอก็เพราะว่า ในปีนี้ VoIP ได้ถูกแปรรูปให้ใช้งานสะดวกขึ้นมาก และแพร่หลายขึ้น โดยมีหัวหอกเป็นบริษัทไอทียักษ์ใหญ่ในสหรัฐอเมริกา เช่น สไคป์, ยาฮู เป็นต้น ด้วยอัตราค่าโทรที่ถูกมาก เพียง 2-3 เซนต์ต่อนาที (ประมาณ 70 สตางค์ต่อนาที) ก็สามารถโทรข้ามโลกกันได้แล้ว โดยการสำรวจของบริษัทวิจัยจูปิเตอร์พบว่า ชาวอเมริกันประมาณ 20.4 ล้านครอบครัวต่างเตรียมต้อนรับบริการโทรศัพท์ผ่านอินเทอร์เน็ตกันแล้ว โดยคาดว่าจะสมัครใช้บริการภายในปี 2010 ใครที่ให้บริการโทรศัพท์ผ่านอินเทอร์เน็ตแถมยังคิดในราคาแพงกว่าคู่แข่งต่างประเทศอาจต้องรีบทบทวนนโยบายก่อนจะสาย 4. บริการเสิร์ชหลากหลายตรงใจทุกคน ปีนี้ยักษ์ใหญ่ที่มีเงินถุงเงินถังพร้อมลงทุน ต่างเร่งหาพันธมิตรด้านเทคโนโลยีมาเปิดบริการค้นหาข้อมูลกันมากมาย ไม่ว่าจะเป็นไมโครซอฟท์ที่นำเอาเทคโนโลยีของ Blinkx.tv มาสืบค้นวิดีโอออนไลน์บนเว็บพอร์ทัล MSN หรือเสิร์ชเอนจินน้องใหม่อย่าง "ChaCha" (ชาช่า) ของสองนักธุรกิจอเมริกัน ที่เลือกใช้การจ้างนักศึกษาประมาณ 3,000 คนมาช่วยคัดกรองผลการค้นหาข้อมูลให้ตรงใจกับผู้ใช้มากที่สุด เช่นเดียวกับบริการค้นหาข้อมูลบนโทรศัพท์มือถือก็เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยทางโอเปราได้ติดตั้งซอฟต์แวร์เสิร์ชกูเกิลลงบนเว็บเบราเซอร์ของทางค่าย เช่นเดียวกันโนเกียที่เลือกซอฟต์แวร์ของยาฮูติดตั้งลงในมือถือเอ็นซีรีย์ส และ S60 ด้วย โดยจะให้ข้อมูลเกี่ยวกับการค้นหาข้อมูลร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ พร้อมภาพและข้อมูลอื่น ๆ เพิ่มเติม
|
ผ่านไปแล้วกับเรื่องดี ๆ ของวงการอินเทอร์เน็ต 2006 แต่เหรียญมีสองด้าน ดาบมีสองคม ฉันใดก็ฉันนั้น วงการอินเทอร์เน็ต 2006 ก็มี 4 มารร้ายออนไลน์แผลงฤทธิ์อยู่เช่นกัน โดยในปีนี้ต้องบอกว่าร้ายแรงขึ้นกว่าเดิม และเป็นความเสียหายที่ประเมินค่าไม่ได้เสียด้วย เริ่มต้นกันที่ 1. อาชญากรออนไลน์ ภัยมืดที่คืบคลาน ปีนี้กระแสข่าวไวรัสตัวร้ายเงียบลงไปมากเลยทีเดียว มีเพียงช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ MyWife และ Kamasutra แพร่ระบาดหนัก ๆ หลังจากนั้น ดูเหมือนว่าโลกออนไลน์จะตกอยู่ภายใต้เงามืดตัวใหม่ที่มีชื่อว่า ฟิชชิ่ง หรือก็คือการฉ้อโกงทางอินเทอร์เน็ตที่อาศัยเทคนิคต่าง ๆ ในการหลอกลวงเหยื่อให้เผลอส่งข้อมูลทางการเงินให้กับอาชญากร สำหรับภาพรวมของภัยฟิชชิ่งในปี 2006 พบว่า สถานการณ์ไม่ค่อยดีนัก เนื่องจากผู้ใช้อินเทอร์เน็ตได้รับอีเมลฟิชชิ่งเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าเมื่อเทียบกับช่วงปี 2004 ส่วนความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการฟิชชิ่งนั้น คิดเป็นมูลค่ามากกว่า 2.8 พันล้านเหรียญสหรัฐแล้ว แม้ว่าผู้บริโภคยุคนี้จะเริ่มรู้เท่าทัน แต่กลุ่มอาชญากรออนไลน์ก็ไม่ลดละความพยายาม ยังคงหาหนทางใหม่ ๆ มาหลอกผู้บริโภคต่อไปอีกเรื่อย ๆ ซึ่งหนทางแก้ไขปัญหานี้ยังไม่สามารถสรุปได้แน่นอนตายตัว มีเพียงบริษัทด้านไอทีที่เร่งพัฒนาเครื่องมือในการสะกัดกั้นออกมาเท่านั้น
|
2. เมื่อลูกหลานตกเป็นเหยื่อคลิปลามก เรื่องราวฉาวโฉ่ของวงการอินเทอร์เน็ตอันดับต่อไปหนีไม่พ้น ความนิยมในการถ่ายคลิปวิดีโอที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในปี 2006 โดยใช้กล้องดิจิตอลจากโทรศัพท์มือถือหรือเว็บแคมเป็นอุปกรณ์บันทึกภาพและโหลดภาพขึ้นบนอินเทอร์เน็ต เหยื่อจากภัยร้ายดังกล่าวมีทั้งผู้ถูกลอบถ่าย และกลุ่มผู้ชมที่เสพติดสื่อชนิดนี้จนผิดปกติ ยกตัวอย่างเช่น คลิปวิดีโอของบริทนีย์ สเปียร์สกำลังเรอมีผู้โหลดไปชมสูงสุดถึง 3 ล้านครั้ง ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สูงเกินความคาดหมาย หรือกระแสแคมฟร็อกที่กำลังทำให้ผู้ใหญ่หลายรายวิตกอยู่ในขณะนี้ ไม่เพียงแต่ภาพประหลาด ๆ ของคนดัง แต่คลิปอนาจารเด็กก็เป็นสื่ออีกประเภทหนึ่งที่แพร่หลายอยู่บนด้านมืดของอินเทอร์เน็ตด้วยเช่นกัน ตัวเลขของกลุ่มเฝ้าระวังทางอินเทอร์เน็ต พบว่า ประเทศไทยมีการเผยแพร่ภาพการล่วงละเมิด"เด็ก" บนอินเทอร์เน็ตมากเป็นอันดับที่ 5 ของโลกด้วย โดยเป็นรองเพียง สหรัฐอเมริกา, รัสเซีย, ญี่ปุ่น และสเปน และมีความเป็นไปได้ว่า อันตรายจากคลิปวิดีโอจะทวีความรุนแรงมากขึ้นในปี 2007 ที่จะมาถึงนี้ 3. โลกที่ปิดกั้นข้อมูลข่าวสาร สำหรับมารร้ายในข้อนี้ จัดว่าเป็นมารที่มีอำนาจสูงสุดในแต่ละประเทศ นั่นก็คืออำนาจรัฐ จะเห็นได้ว่าหลายประเทศ เช่น จีน สิงคโปร์ มาเลเซีย รวมถึงประเทศไทย โดยเฉพาะประเทศจีนที่มีการใช้อำนาจรัฐเข้ามาแทรกแซงอินเทอร์เน็ตอย่างกว้างขวาง หลายครั้งควบคุมการนำเสนอข่าว บทความ หรือกระทู้แสดงความคิดเห็นข้อความทางการเมืองอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งเจ้าพ่อวงการไอทีอย่างบิล เกตส์ได้เคยกล่าวถึงกรณีนี้เอาไว้ว่า "รัฐบาลไม่อยู่ในฐานะที่จะปิดกั้นข้อมูลข่าวสารได้อีกต่อไปในยุคอินเทอร์เน็ต" เช่นเดียวกับซีอีโอของกูเกิลอย่างอิริค ชมิดต์ ที่เคยกล่าวเอาไว้ว่า "ภัยที่ร้ายแรงที่สุดของโลกออนไลน์ก็คือรัฐบาล เพราะเราไม่สามารถปฏิเสธคำสั่งจากภาครัฐได้เลย"
|
4. ยึดอินเทอร์เน็ตเป็นสามัญของชีวิต อินเทอร์เน็ตไม่เพียงแต่เป็นเครื่องมือของโลกแห่งเทคโนโลยี บนเวทีแห่งนี้เมื่อมีคนเข้ามาชุมนุมกันมากเข้า ๆ มันก็กลายเป็นชุมชนขนาดใหญ่ได้อย่างง่ายดาย หลายคนเข้ามาและยึดติดกับภาพลวงตาบนโลกออนไลน์จนทำให้เข้าใจว่า ความสัมพันธ์ดังกล่าวเป็นเรื่องจริง พฤติกรรมเหล่านี้เกิดขึ้นได้ทั้งกับเด็กและผู้ใหญ่ แต่สิ่งหนึ่งที่จะกระทบกับการดำเนินชีวิตประจำวันของคนเหล่านี้คือการหนีห่างจากสังคม เพื่อไปหมกตัวอยู่กับหน้าจอสี่เหลี่ยม ในต่างประเทศ เช่น อังกฤษและสหรัฐอเมริกา ได้มีการเปิดเผยผลการวิจัยเกี่ยวกับพฤติกรรมการติดอินเทอร์เน็ตออกมาบ่อยครั้ง ทำให้พบว่าผู้ที่ยึดติดกับอินเทอร์เน็ตมีทั้งเยาวชนและผู้ใหญ่ โดยกิจกรรมที่นักท่องเน็ตส่วนมากมิอาจพลาดนั่นคือการแชต (Chat) แต่กิจกรรมดังกล่าวก็นำมาซึ่งปัญหาการล่อลวงด้วยอีกทางหนึ่ง พฤติกรรมการเล่นอินเทอร์เน็ตของประชาชนในปัจจุบัน กำลังเป็นที่เฝ้าจับตาของกลุ่มจิตแพทย์ผู้ต้องการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับภัยของอินเทอร์เน็ต โดยเชื่อว่าในปี 2007 จะมีรายงานผลการวิจัยได้รับการตีพิมพ์อีกหลายฉบับเลยทีเดียว ผ่านไปแล้วกับการสรุปภาพรวมอินเทอร์เน็ตปี 2006 แน่นอนว่าเทคโนโลยีเป็นเพียงสิ่งสมมติที่มนุษย์เราสร้างไว้เพื่ออำนวยสะดวกให้กับตนเอง ดังนั้น ชาวไอทีปี 2006 ที่กำลังจะก้าวไปสู่ปี 2007 จะต้องรู้เท่าทันภัยอันตรายต่าง ๆ เหล่านี้เอาไว้ พร้อมกันนั้นก็ต้องสามารถหยิบเทคโนโลยีมาใช้ให้เกิดประโยชน์ด้วยเช่นกัน ทีมงานผู้จัดการออนไลน์ |