คล้อยหลัง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบกและประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ หรือ คมช. ออกมาประกาศว่า จะพยายามทุกวิถีทางเพื่อทวงคืนดาวเทียมไทยคมที่เปรียบเสมือนเป็นสมบัติของชาติ แต่เชื่อกันว่า ตกไปอยู่ในมือกองทุนเทมาเส็กจากสิงคโปร์หลังการขายหุ้นของอดีตนายกรัฐมนตรี เลือกรักชาติของคนไทยก็พุ่งพล่านขึ้น พร้อมๆ กับกระแสต่อต้านต่างชาติเข้าครอบงำกิจการโทรคมนาคมของไทย ขณะเดียวกันหน่วยงานต่างๆ เช่น กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือ ไอซีที กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงยุติธรรมและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ฯลฯ ต่างพยายามพลิกตำราหาช่องทางดำเนินการเรื่องดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นการซื้อหุ้น หรือ ยึดสัมปทานคืนถ้าตรวจสอบพบว่า มีบริษัทใดบริษัทหนึ่งถือหุ้นแทน หรือ เป็นนอมินีต่างชาติ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ เมื่อพูดถึงเรื่องดาวเทียมไม่ค่อยมีใคร หรือ หน่วยงานใด สนใจสักเท่าไร ทำให้ท่ามกลางกระแสทวงคืนสมบัติของชาติครั้งนี้ มีคำถามแทรกขึ้นมาว่า แล้วใครมีหน้าที่กำกับดูแลกิจการดาวเทียมโดย ตรง เพราะถ้าเป็นกระทรวงไอซีทีที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมและพัฒนาการใช้ไอซีที หลายครั้งที่มีการพูดถึงกิจการดาวเทียมไม่เห็นมีเจ้าหน้าที่คนไหนออกมาให้รายละเอียดได้ ขณะที่คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติหรือ กทช. หน่วยงานกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคมโดยตรง ก็ดูเหมือนจะไม่ได้เหลียวแล ดั้งนั้น เพื่อให้ได้คำตอบเราจึงต้องย้อนกลับไปดูการก่อตั้ง บริษัท ชิน แซทเทลไลท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ชินแซทฯ พบว่า ก่อตั้งเมื่อวันที่ 7 ก.ย. 2534 โดยบริษัท ชินวัตรคอมพิวเตอร์ แอนด์ คอมมิวนิเคชั่นส์ จำกัด ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ชิน เพื่อดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสาร ภายใต้สัมปทานจากกระทรวงคมนาคม ก่อนโอนอำนาจการกำกับดูแลมายังกระทรวงไอซีที มีอายุสัมปทาน 30 ปี คือ จะสิ้นสุดในปี 2564 โดยสัญญาสัมปทานฉบับนี้ เป็นประเภทสร้าง-โอน-บริหาร หรือ บีทีโอ คือ ชินแซทฯ มีหน้าที่สร้างและส่งดาวเทียมขึ้นสู่วงโคจร โดยรัฐบาลเป็นผู้จัดหาตำแหน่งวงโคจรดาวเทียมให้ หลังจากนั้น ชินแซทฯ ต้องส่งมอบดาวเทียม สถานีควบคุมและอุปกรณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องให้เป็นทรัพย์สินของกระทรวงคมนาคม แต่ต่อมาได้โอนสิทธิมายังกระทรวงไอซีที ขณะที่ชินแซทฯ ได้รับสิทธิในการนำช่องสัญญาณไปให้เช่าและเรียกเก็บค่าเช่า แต่จะต้องจ่ายส่วนแบ่งให้รัฐตามสัญญา ทั้งนี้ ภายในสัญญาระบุว่า ชินแซทฯ จะต้องจ่ายส่วนแบ่งให้รัฐเป็นร้อยละของรายได้ค่าบริการช่องสัญญาณดาวเทียมที่ได้ รับ หรือ อย่างน้อยเท่ากับจำนวนเงินขั้นต่ำที่ระบุไว้ในสัญญา คือ ตั้งแต่ปี 2535 จะต้องจ่ายส่วนแบ่งรายได้ประมาณ 5.5% ตั้งแต่ปี 2540 เพิ่มเป็นประมาณ10.5% และจะต้องจ่ายประมาณ 22.5% ในปี 2564 นอกจากนั้น ชินแซทฯ ยังยินยอมส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบเอกสารต่างๆ เกี่ยวกับการดำเนินกิจการภายในที่ทำงานชินแซทฯ ได้ตลอดเวลาทำการ ทางด้าน นายเศรษฐพร คูศรีพิทักษ์ กรรมการ กทช. หน่วยงานอิสระที่ถูกคาดหวังจากทุกฝ่ายว่า จะเข้ามาเป็นตัวกลางแก้ไขปัญหาโทรคมนาคมทั้งระบบ พูดถึงกรณีกระทรวงไอซีทีพิจารณาสัญญาสัมปทานดาวเทียมของชินแซทฯ ว่า เป็นสิทธิอันชอบธรรมของกระทรวงไอซีทีในฐานะคู่สัญญาสัมปทาน เมื่อเห็นว่า ทำไม่ถูกต้องกรณีเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นใหญ่ในชินคอร์ปเป็นเทมาเส็ก แต่จะต้องพิจารณากฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องให้รอบคอบเพื่อป้องกันความผิดพลาด “การดำเนินการของกระทรวงไอซีทีกรณีการทวงคืนดาวเทียมเป็นไปตามสัญญาสัมปทานโครงการดาวเทียมไทยคม ขณะที่ กทช. ไม่มีอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบใดๆ ที่จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับการดำเนินการตามสัญญาสัมปทาน แต่อำนาจหน้าที่ของ กทช. จะอยู่ที่การดูแลการแข่งขันประกอบกิจการสื่อสารดาวเทียมระหว่างดาวเทียมไทยคมกับดาวเทียมอื่นๆ และเรื่องคลื่นความถี่สำหรับดาวเทียมในประเทศไทย” กรรมการ กทช. พูดถึงหน้าที่ในกิจการดาวเทียม ไม่เพียงแค่นั้น นายเศรษฐพร ยังพูดถึงการแบ่งหน้าที่ระหว่าง กทช. กับกระทรวงไอซีทีว่า กทช. จะดูแลการให้คลื่นความถี่ว่า ดาวเทียมแต่ละดวงจะใช้คลื่นความถี่ใด ส่วนกระทรวงไอซีทีจะดูแลการจองตำแหน่งวงโคจรดาว เทียมกับไอทียู (ITU) โดยการจองตำแหน่งวงโคจรจะจองในนามของรัฐบาลไทย ในขณะที่งานส่วนสุดท้ายที่ต้องดูแลรับผิดชอบร่วมกัน คือ การประสานงานคลื่นความถี่ก่อนยิงดาวเทียมขึ้นสู่วงโคจรเพื่อให้การทำงานของดาวเทียมแต่ละดวงไม่รบกวนกัน “ความชัดเจนเรื่องหน้าที่ความรับผิดชอบระหว่าง กทช. และกระทรวงไอซีที เป็นคนละหน้าที่กัน สาธารณชนน่าจะได้รับรู้ว่า กระทรวงไอซีทีรับผิดชอบเรื่องสัญญาสัมปทานดาวเทียมไทยคม ส่วน กทช. มีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการกำกับดูแลการประกอบกิจการที่มีการแข่งขันระหว่างดาวเทียมไทยคมกับดาวเทียมดวงอื่นๆ” กรรมการ กทช. ย้ำให้เห็นภาพการแบ่งหน้าที่ระหว่าง กทช. และกระทรวงไอซีที ในการกำกับดูแลกิจการดาวเทียม นายเศรษฐพร พูดถึงสถานภาพดาวเทียมไทยคมในปัจจุบันว่า ยังเป็นดาวเทียมของประเทศไทย และอยู่ในตำแหน่งวงโคจรของประเทศไทย แต่สัญญาสัมปทานที่ภาครัฐทำกับชินแซทฯ อยู่ในการดูแลของเทมาเส็กที่ได้ซื้อหุ้นของชินคอร์ปเท่านั้น ดังนั้น จึงเป็นเรื่องของการดำเนินการตามกฎหมายให้ถูกต้องตามกติกาของประเทศไทยและข้อกฎหมายระหว่างประเทศ และหากมีการขอความร่วมมือมา กทช. ก็พร้อมจะร่วมมือทางด้านต่างๆ กับรัฐบาลและกระทรวงไอซีที ที่กล่าวมา เป็นการไขข้อข้องใจว่า ใครมีหน้าที่กำกับดูแลกิจการดาวเทียมในประเทศไทยซึ่งน่าจะทำให้ผู้อ่านเข้าใจบทบาทในช่วงที่ผานมา ท่ามกลางความพยายามปลุกกระแสรักชาติให้มีการทวงคืนดาวเทียมไทยคม อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าสุดท้ายแล้วเรื่องนี้ จะจบลงเช่นไร เราอยากฝากข้อคิดถึงทุกๆ ฝ่ายที่เกี่ยวข้องว่า อะไรที่ผิดไปแล้วทำให้รัฐและประชาชนเสียประโยชน์ก็ต้องเร่งแก้ไขให้ถูกต้อง ขณะเดียวกันก็ต้องพยามป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำรอยเช่นที่ผ่านมาอีก ...
ณัฐพล ทองใบใหญ่ itdigest@thairath.co.th
บทความจาก : ไทยรัฐ |