เราจะรู้ได้ อย่างไรว่า พฤติกรรมการใช้งานของเรา ควรจะเลือกแพ็คเกจไหนถึงจะเหมาะสม และไม่ใช้เกินปริมาณการใช้งานจนถูกจำกัด Fair Usage Policy ผู้ให้บริการแต่ละค่ายนำเสนอเครื่องมือตรวจสอบคือ Data Calculator จาก AIS dtac TruemoveH ซึ่งทุกค่ายจะแบ่งการใช้งานตามอุปกรณ์ออกเป็น SmartPhone อย่าง iPhone, BlackBerry, Android, WindowsPhone / iPad, Tablet / Laptop ใช้กับแอร์การ์ด หรือ Mi-Fi ถ้าดูจากภาพประกอบด้านบน คงจะเห็นได้ชัดว่า โน้ตบุ๊กหรือแล็ปท็อป ใช้ปริมาณการรับส่งข้อมูลมากที่สุด แต่ไม่ใช่ว่าทุกอุปกรณ์จะใช้ความเร็ว 3G ได้เท่ากัน ขึ้นอยู่กับการรองรับของอุปกรณ์ อย่างเช่น The New iPad รองรับการดาวน์โหลดสูงสุด 42Mbps สลับใช้ Wi-Fi บ้าง ทางเลือกในการใช้งาน 3G อย่างประหยัด (ปริมาณการใช้งาน) ตอน นี้ พฤติกรรมในการใช้งานอุปกรณ์พกพา สมาร์ทโฟน แท็ปเล็ต แอร์การ์ด ของคนไทยเปลี่ยนไป หากอยู่บ้าน หรือออฟฟิศ ก็ใช้ Wi-Fi เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ แท็ปเล็ต สมาร์ทโฟน หากออกมานอกสถานที่ก็ใช้ 3G หรือเดินเข้าห้างก็มีบริการ Wi-Fi ให้ใช้ หรือมีบริการ Wi-Fi ฟรีทั่วกรุง ดังนั้น ผู้ใช้สามารถบริหารการใช้งาน 3G ไม่ให้เกินลิมิตจากปริมาณการใช้งานที่กำหนดไว้ได้ หรือหากใช้งานเกินปริมาณที่กำหนดไว้ ก็พยายามปรับไปใช้ Wi-Fi แทน ก็จะไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม แต่จะต้องรู้วิธีปิด 3G เพื่อป้องกันเน็ตรั่วด้วย เพราะส่วนใหญ่ที่เกินกำหนด Fair Usage Policy คือนำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ เช่น ให้แพ็คเกจต่ำสุด แต่นำไปกระจายสัญญาณ Wi-Fi HotSpot ให้คอมพิวเตอร์และแท็ปเล็ต เป็นต้น ความเป็นธรรมของการกำหนดเงื่อนไขจำกัดปริมาณการใช้งาน Fair Usage Policy ผู้ ใช้หลายคนออกมาร้องเรียนว่า ผู้ให้บริการไม่เป็นธรรมในการจำกัดสิทธิ์ในการใช้งานโดยอ้างเงื่อนไข Fair Usage Policy ส่วนฝั่งผู้ให้บริการก็มีข้อกำหนดเพื่อไม่ให้เครือข่ายโดยรวมถูกดึงแบนด์วิธ จากการนำไปใช้งานที่ไม่เหมาะสม ทางผู้ใช้ก็ออกมาแสดงความเห็นว่า การกำหนดเงื่อนไขของ Fair Usage Policy ในบางแพ็คเกจ กดความเร็วต่ำจนเกินไป บางแพ็คเก็จลดความเร็วลงเหลือ 64Kbps ซึ่งความเร็ว EDGE ยังเร็วกว่า หรือบางแพ็คเกจลดความเร็วเหลือ 128Kbps ก็ยังพอรับไหว บางแพ็คเก็จก็ลดเหลือ 256Kbps แต่ก็ยังถือว่าช้าเกินไปอยู่ดี แต่สำหรับผู้ใช้บางรายที่สมัครแพ็คเกจแท็ปเล็ต มักจะถูกจำกัดความเร็วเหลือ 384Kbps ซึ่งเป็นความเร็วในระดับ 3G ที่พอจะยอมรับได้ ถามว่าความเหมาะสมอยู่ที่ตรงไหน เพราะผู้ใช้ก็มองว่า ผู้ให้บริการเอาเปรียบโดยเหมือนบังคับให้ใช้แพ็คเกจสูงกลายๆ ต้องจ่ายเดือนละเกือบพันเพื่อให้สามารถใช้งานได้ปริมาณมากๆ หลังจากนั้นถูกลดความเร็วลง ถามว่า จะบริหารอย่างไรให้ไม่เกินจากปริมาณการใช้งานที่กำหนด อาจต้องสลับไปใช้ Wi-Fi บ้าง หรือขณะดู Youtube หรือดาวน์โหลดไฟล์ก็ใช้ Wi-Fi แทนก็เป็นทางเลือกที่ช่วยได้ ถ้าไม่อยากถูกจำกัดด้วย Fair Usage Policy ล่ะ? ค่าย ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือรายใหญ่ๆ AIS, Dtac, TruemoveH นั้นนำเสนอทั้ังแพ็คเกจที่ไม่ถูกจำกัดความเร็วในการใช้งาน หากใช้งานเกินจากที่กำหนดก็มีค่าบริการเพิ่มเติม กับแพ็คเกจ Unlimited ที่ใช้งานได้ไม่จำกัด แต่หากใช้ครบตามปริมาณที่กำหนดก็ปรับลดความเร็วลง โดยไม่มีค่าบริการเพิ่มเติม และทางเลือกสำหรับแพ็คเกจของ MVNO จาก TOT อย่าง i-mobile 3GX, iFox ซึ่งจำหน่ายแพ็คเกจเป็นเม็กกะไบต์ (1024 MegaBye = 1GigayByte) โดยไม่มีการจำกัดปริมาณการใช้งาน Fair Usage Policy แต่จะขายเป็นเม็กกะไบต์ เช่น เหมาจ่าย 399 บาท ใช้งานได้ 2500MB หรือประมาณ 2.5GB หากใช้ครบก็ตัดการเชื่อมต่อ จ่ายเงินซื้อเม็กใหม่ ถ้าเป็นแบบนี้เราจะต้องหมั่นตรวจสอบปริมาณการใช้บริการเป็นประจำ สรุป การ จำกัด Fair Usage Policy นั้น เป็นข้อจำกัดที่เป็นเงื่อนไขของผู้ให้บริการแต่ละรายที่กำหนดการใช้งานตาม ความเหมาะสม เพื่อการใช้งานโดยรวม แต่ผู้ใช้เองก็ควรจะเลือกแพ็คเกจให้เหมาะสมและนำอุปกรณ์มาใช้งาน 3G ให้เหมาะสมกับแพ็คเกจด้วยเช่นกัน เพราะผู้ให้บริการมีการนำเสนอแพ็คเกจที่หลากหลาย และไม่ได้เป็นการบังคับโดยไม่มีทางเลือก เพราะผู้ใช้บริการยินดีที่จะสมัครแพ็คเกจที่ตนพอใจได้ตามความต้องการ และยอมรับถึงข้อกำหนดและเงื่อนไขในการใช้งานแต่ละแพ็คเกจแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม ความเห็นจากผู้ใช้ก็อยากจะให้มีการกำหนดเงื่อนไข Fair Usage Policy เป็นรายวัน แต่อย่าลืมว่า ในขณะนี้ 3G ที่เราใช้ ยังเป็น 3G ที่ผู้ให้บริการนำคลื่นความถี่เดิมมาให้บริการ คงต้องรอดูกันว่า การกำหนดเงื่อนไขในการจำหน่ายแพ็คเกจหลังการประมูลคลื่นความถี่ 2100MHz จะเป็นอย่างไร
ข้อมูล Fair Usage Policy จาก AIS dtac Truemove |