• เอดส์เชียงใหม่ ยังน่าห่วง15-24ปีติดอื้อป่วยสะสม3หมื่นคน |
โพสต์โดย ตนข่าว , วันที่ 22 ก.ย. 54 เวลา 08:49:18 IP: Hide ip |
กด like เพื่อติดตามข่าวสารดีๆ จาก cmprice.com VVVVVV
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
© เนื้อหาข่าว/กระทู้
เอดส์ยังน่าห่วงอีก สสจ. เผย พบเด็กวัยรุ่นติดเชื้อมากจากยอดป่วยสะสมกว่า 3 หมื่นราย และยังมีเด็กที่ได้รับผลกระทบอีกกว่าหมื่นคน เหตุหลักจากเพศสัมพันธ์ 15-24 ปีติดเชื้ออื้อ มีผู้ป่วยรายใหม่เปิดเผยตัวเฉลี่ยวันละ 3 คน แนะรัฐใส่ใจแก้ไขป้องกันให้ตรงจุด
เมื่อวันที่ 19 ก.ย.54 นางชลลิสา จริยาเลิศศักดิ์ หัวหน้ากลุ่มงานควบคุมโรค สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ นักวิชาการสาธารณสุขชำนาญการพิเศษ กล่าวว่า ปัจจุบันเชียงใหม่ยังน่าวิตกกับปัญหาโรคเอดส์เพราะจากสถิติผู้ป่วยรายใหม่ เฉลี่ยที่พบจากการตรวจสอบและเปิดเผยตัว มีวันละ 3 คน มีผู้เสียชีวิตจากโรคเอดส์วันละ 2 คน และมีผู้ติดเชื้อที่มีอาการและผู้ป่วยสะสมตั้งแต่ปี 2531 ถึง 31 ธ.ค.2553 จำนวน 31,516 ราย เสียชีวิตไปแล้วประมาณ 50% มีเด็กที่ได้รับผลกระทบกว่า 10,000 คน ผู้ป่วยเอดส์ส่วนมาก 91.7% มีเหตุจากเพศสัมพันธ์ และ 1 ใน 3 ติดเชื้อตั้งแต่วัยรุ่น 15-24 ปี ทำให้สถานการณ์ของกลุ่มเสี่ยงวัยรุ่นน่าเป็นห่วงมาก หากไม่ป้องกันหรือรณรงค์ให้มากในขณะนี้เชื่อว่า 5-10 ปีนั้นปัญหาเอดส์ในเชียงใหม่จะกลับมาเป็นปัญหาใหญ่แน่นอน ซึ่งต้องยอมรับด้วยว่ามีผู้ป่วยหรือผู้ติดเชื้อไม่แสดงอาการทั้งรู้ตัวและ ไม่รู้ตัวโดยไม่เปิดเผยตนเองอีกจำนวนมากหรืออาจจะมากกว่าเท่าตัวที่อยู่ใน สังคมเวลานี้ ในขณะที่คนส่วนใหญ่เริ่มลืมที่จะสนใจโรคเอดส์และไม่กลัวเหมือนตอนระบาดระยะ แรกๆ
ทั้งนี้พบสาเหตุจากการเก็บข้อมูลด้วยว่า กลุ่มเสี่ยงวัยรุ่นนั้นมีค่านิยมที่เปลี่ยนแปลงตามสังคมยุคบริโภควัตถุนิยม เลียนแบบสังคมต่างประเทศ เห็นชัดเจนว่าเรื่องเพศสัมพันธ์กลายเป็นเรื่องปกติมากขึ้น ซึ่งปี 2549 เรื่องเพศสัมพันธ์มี 29% แต่ล่าสุดปี 2553 เพิ่มเป็น 40.6% มีการใช้ถุงยางอนามัยในการมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกเพียง 47.0% เนื่องจากค่านิยมเรื่องขึ้นครูกับหญิงขายบริการได้เปลี่ยนไปเป็นคนรักหรือ แฟนมากขึ้น ปี 2540 สถิติมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกกับหญิงขายบริการมี 42.8% แต่ปี 2553 เหลือเพียง 4.9 % เท่านั้น แต่ตัวเลขการมีเพศสัมพันธ์กับแฟนและคนรักเพิ่มจาก 41.7% ในปี 2540 เป็น 80% ในปี 2553 และกลุ่มที่เป็นผู้ติดเชื้อเอดส์มากสุดก็คือกลุ่มวัยรุ่นเปลี่ยนจากเดิมที่ เป็นวันแรงงาน
นอกจากนี้พบว่า อัตราการติดเชื้อ HIV ในกลุ่มชายรักชายเพิ่มขึ้นจาก 8.3 % ปี 2552 เป็น 13.0% ในปี 2553 การหลั่งไหลเข้ามาของแรงงานต่างด้าว กลุ่มชาติพันธุ์ ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่มีกลุ่มเสี่ยเพิ่มอีกด้านหนึ่งด้วย เนื่องจากพบข้อมูลของหญิงตั้งครรภ์ในกลุ่มนี้มีอัตราการติดเชื้อเอดส์สูง ขึ้น นอกจากนี้กลุ่มที่ใช้ยาเสพติดก็พบการติดเชื้อที่สูงเช่นกันอยู่ที่ 22.8% ในปีล่าสุด
ด้านพญ.ประคอง วิทยาศัย จากมูลนิธิเกื้อดรุณ ที่ดูแลเด็กที่ได้รับผลกระทบทางครอบครัวที่เป็นเอดส์บอกว่า ตามข้อมูลของ กระทรวงสาธารณสุขที่ชี้ว่า การเฝ้าระวังสถานการณ์การติดเชื้อ HIV ล่าสุดของไทยกลางปี 2553 ในกลุ่มประชากรต่างๆ ได้แก่ กลุ่มโลหิตบริจาค กลุ่มใช้ยาเสพติดชนิดฉีด กลุ่มหญิงฝากครรภ์ กลุ่มชายที่ไปรักษากามโรค กลุ่มหญิงบริการทางเพศโดยตรงและแอบแฝง กลุ่มชายบริการทางเพศ กลุ่มชาวประมง และกลุ่มแรงงานแต่งชาติ พบว่า กลุ่มที่มีแนวโน้มการติดเชื้อ HIV สูงขึ้น คือ กลุ่มพนักงานบริการทางเพศ ทั้งชายและหญิงมีการติดเชื้อสูงกว่าปี 2552 ประมาณ 1 เท่าตัว กลุ่มอายุต่ำกว่า 20 ปี ติดเชื้อเพิ่มขึ้นกว่าปี 2552 ถึง 3 เท่าตัว ตัวเลขชายขายบริการทางเพศสูงขึ้นเรื่อยๆ ล่าสุดปี 2553 สูงถึง 19.5% ถือเป็นสัญญาณบอกเหตุที่อันตรายมากๆ
ทั้งนี้อยากเรียกร้องให้นายวิทยา บูรณศิริ รัฐมนตรีสาธารณสุข นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะตระหนักในเรื่องนี้ และช่วยหาทางรณรงค์เอดส์อย่างจริงจัง เพื่อชะลอการติดเอดส์ใหม่ แทนที่จะไปเน้นเรื่องการสอนเรื่องเพศกันอย่างเอาเป็นเอาตาย (ตั้งแต่ 2545 จนถึงปัจจุบัน) แต่ก็ไม่สามารถชะลอเอดส์ได้ กลับติดเอดส์เพิ่มขึ้น ทั้งๆ ที่ประเทศไทยเคยได้รับความชื่นชมจากทั่วโลกโดยเฉพาะ WHO (หรืออยู่ใน UNAIDS ในปัจจุบัน) ว่าเราสามารถชะลอเอดส์ได้เป็นรูปธรรม จากการให้ความรู้เรื่องเอดส์อย่างจริงจัง แต่ปัจจุบันกลับแทบไม่มีงบรณรงค์เอดส์ โดยรัฐบาลควรจะมีนโยบายรณรงค์ให้ประชาชนรู้และตระหนักว่าถุงยางอนามัยนั้น เป็นวิธีเดียวของการคุมกำเนิดที่ป้องกันเอดส์ได้และควรเน้นให้ประชาชนทั่วไป ทราบว่าการใช้ยาคุมกำเนิดของผู้หญิง เช่น การกินยาคุม ฉีดยาคุม ฝังยาคุม ใส่ห่วง ทำหมันหญิงนั้นป้องกันเอดส์ไม่ได้เลย น่าจะมีการแจกถุงยางฟรี "ไม่อั้น" เพราะยางพารามีมากมายในประเทศไทย และการผลิตถุงยางก็ใช้ยางพารา จำนวนเล็กน้อย อีกทั้งยางพาราก็เป็นสินค้าออกอันดับ 1 ของประเทศไทย ยางพารานอกจากจะปลูกกันที่ภาคใต้แล้ว ปัจจุบันยังปลูกทางภาคอีสาน และภาคเหนือมาก หากรัฐจะให้มีนโยบายประกาศใช้ถุงยางอนามัยเป็นการคุมกำเนิด และลดการใช้ยาคุมกำเนิดของหญิงก็คงจะเป็นการลดเอดส์โดยปริยาย และเราคงลดรายจ่ายเพื่อซื้ออุปกรณ์สำหรับคุมกำเนิดของหญิงได้มาก เพราะ "ถุงยางเป็นวิธีเดียวของการคุมกำเนิดที่ป้องกันเอดส์ได้"ประเทศไทยคงสามารถ ชะลอเอดส์ได้แน่นอน เพราะเป็นการรณรงค์ที่เคยทำให้ประเทศไทยชะลอเอดส์ได้จนเป็นที่ฮือฮาของทั่ว โลกมาแล้ว.
http://www.thainews70.com/news/news-head/view.php?topic=2722
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
|
|
|
แจ้งลบกระทู้นี้
อ่าน 2860 |
|
แสดงความคิดเห็น |
โดย ตนข่าว
IP: Hide ip
, วันที่ 22 ก.ย. 54
เวลา 08:49:18
|