ลิงก์ผู้สนับสนุน
© เนื้อหาข่าว/กระทู้
ลักษณะ : เป็นวิญาณที่คนนำมาเลี้ยงไว้ในหม้อ ห่อด้วยผ้าขาว และ จะถูกส่งตกถอดมาสู่ลูกหลานเสมือนเป็นมรดกชิ้นหนึ่ง แต่ถ้าไม่มีลูกหลานคนใดเหลือให้สืบทอดแล้ว จะเก็บเอาสิ่งของ แก้ว แหวน เงิน ทอง ของมีค่า ฝังไว้ใต้ดินบริเวณบ้าน ถ้ามีผู้ใดขุดพบ แล้วนำไปเป็นของตนเอง คนนั้นก็จะต้องเป็นเจ้าของผีกะคนต่อไป
ผีกะ จะมีนิสัยอาฆาตแค้น คนที่ทำให้มันอับอาย ถ้าคนๆนั้นดวงตกเมื่อไร มันก็จะกลับไปแก้แค้นทันที
อาหาร : ผีกะชอบกินของสด ของคาว ทั้งของคนและสัตว์
เรื่องเล่า :
ผีกะ มักจะชอบทำร้ายคนที่ดวงตก ขวัญอ่อน ชอบทำร้ายเด็ก และทำร้ายคนที่มันหรือเจ้าของไม่ชอบ การออกไปทำร้ายคนของผีกะนั้น จะมีอยู่ 2 สาเหตุ คือ 1. เจ้าของสั่งให้ไปทำร้าย 2. เจ้าของเลี้ยงไม่ดี ผีกะจึงออกไปทำร้ายคนอื่น เพื่อให้เจ้าของอับอายขายหน้า
การทำร้ายของผีกะนั้น อาจจะเข้าฝันคนที่มันต้องการจะทำร้าย ในความฝันนั้นผีกะจะเป็นหมาดำ และจะเข้ามาทำร้ายเราในความฝัน ถ้าเราสู้มันในความฝันไม่ไหวก็จะชักตายทันที อีกวิธีในการทำร้ายของผีกะ จะเข้าคนที่ดวงตก ขวัญอ่อน หรือเด็ก โดยการเข้าสิง ถ้าไม่มีใครมาปราบผีกะ คนๆนั้นก็จะตายทันทีเช่นกัน
คนสมัยก่อนเล่าว่า ก่อนที่ผีกะจะออกจากร่าง ชาวบ้านที่มาเห็นจะเอา เตี่ยวหม้อนึ่ง (ผ้าที่ใช้พันรอบรอยต่อระหว่างหม้อนึ่งกับไหนึ่งข้าว ของชาวเหนือ) พันคอไม่ให้มันออกร่าง แล้วขู่ให้ผีกะบอกชื่อคนที่เป็นเจ้าของ
วิธีการปราบผีกะที่เข้าสิงร่างคน เท่าที่รู้มามีอยู่ 2 วิธี คือ
1. ผู้ มีคาถาอาคม จะขู่ ให้ผีกะบอกชื่อ จะถามสาเหตุที่มาทำร้ายคน และไล่ให้ออกจากร่างไป ถ้าผีกะไม่ยอมออกจากร่าง ผู้ที่มีคาถาอาคม จะใช้กะลามะพร้าว หรือหม้อแกง สวมศีรษะคนที่ถูกเข้าสิง แล้วท่องคาถา เอามีดขูดกะลามะพร้าว หรือหม้อแกง เมื่อผีกะออกไปแล้ว รุ่งเช้า ผมคนที่เป็นเจ้าของผีกะก็จะร่วงตามมีดที่ผู้มีคาถานั้นขูดกะลามะพร้าว หรือหม้อแกงไว้ ฉะนั้นชาวบ้านก็จะรู้ได้เลยว่าคนที่ผมร่วงนั้นเป็นเจ้าของผีกะจริงๆ
2. ถ้าผีกะไม่ยอมออกจากร่าง ผู้ที่มีคาถาอาคม เป่า พริกแห้งที่ตำแล้ว ใส่ตาคนที่ถูกผีกะเข้าสิง เมื่อผีกะออกจากร่างแล้ว รุ่งเช้า คนที่เป็นเจ้าของผีกะนั้นก็จะตาแดง จนไม่กล้าออกไปข้างนอกบ้าน
หลังจากนั้นผู้ที่มีคาถาอาคม จะต้องป้องกันตัวเอง และลูกหลาน โดยจะใช้คาถา ต่อ 7 ตัว มัดคอลูกหลานไว้ เพื่อที่จะไม่ให้ผีกะทำอันตรายไม่ได้
ที่มาข้อมูล : http://www.lannaghost.blogspot.com/
ลักษณะ : เป็นคนที่โดนผีโพงเข้าสิง และจะเข้าสิงร่างนั้นตลอด คนที่โดนผีโพงสิงมักจะไม่รู้ตัวว่าตัวเองโดนสิง ผีโพงนั้นจะมีรูปร่างเหมือนคนทุกประการ แต่มีแสงไฟออกจากจมูก จะมีอยู่สามสี คือ สีแดง สีม่วง และสีเขียว
อาหาร : ผีโพงจะชอบกินเมือกกบ เมือกเขียด แล้วก็คลายทิ้ง กบ เขียดนั้นก็จะตาย
เรื่องเล่า :
คน ในสมัยก่อนเล่าต่อๆกันมาว่า ก่อนออกไปหากิน ผีโพงจะเอาจมูกไปเสียดสีกับบันไดบ้านให้แดงก่อนออกไปหากิน พอใกล้สว่างก็จะกลับมาที่บ้านเหมือนเดิม คนที่มีคาถาอาคมสมัยก่อน ถ้า สงสัยว่าใครเป็นผีโพง ก็จะร่ายคาถา แล้วกลับบันไดบ้านของผีโพง เมื่อผีโพงกลับมาที่บ้าน ก็เห็นว่าบ้านเป็นของตนเอง แต่บันไดไม่ใช่ มันก็เดินวนเวียนอยู่หน้าบ้าน เข้าบ้านไม่ได้ จนรุ่งเช้า มีคนมาพบเห็นเข้าก็จะรู้ว่าคนๆนั้นเป็นผีโพง คนที่เป็นผีโพงก็จะอับอาย หรืออาจหลบหนี้ไปอยู่ที่อื่น แต่ถ้าผีโพงรู้ว่าใครแกล้งมัน มันก็จะอาฆาตแค้นเมื่อคนที่ร้ายมัน พลังอ่อนลง มันก็จะกลับมาแก้แค้น โดยเอาก้านกล้วยแม่หม้ายพุ่งข้ามหลังคา หรือใต้ถุนบ้าน ทำให้คนที่อยู่ในบ้านเจ็บป่วย หรือตายหมดทั้งบ้าน
ผีโพง จะเป็นตอนกลางคืน ช่วงที่ชาวบ้านพบเห็นบ่อย จะอยู่ในช่วงฤดูฝน ช่วงตอนฝนตก มักจะเห็นแสงสว่างสีแดง ม่วง เขียว ที่จะสว่างแถวกลางทุ่งนาแล้วดับ แล้วก็ไปสว่างแล้วดับอีก ไป เรื่อยๆ บางก็เล่าว่าจะมีแสงไฟตกจากจมูก เหมือนหยดน้ำด้วย ถ้ามีคนตามรอยผีโพงไป ก็จะเจอกับ กบ เขียด ที่จะนอนตายตัวแข็งตามท้องนา ถ้าหากว่าคนไปเจอกับผีโพงเข้า แล้วเห็นว่าผีโพงนั้นเป็นใคร ผีโพงมักจะบอกว่า “มันเป็นวิบากกรรมของมัน ที่ต้องมาชดใช้กรรมแบบนี้” และอ้อนวอนอย่าให้บอกใคร ผีโพงก็จะเสก ใบไม้ ก้อนหิน ก้อนอิฐ หรือถ่านมี่ (ถ่านมี่ คือถ่านสีดำ ที่ใช้ก่อกองไฟในครัว) ให้กล้ายเป็นทองคำ แล้วเอาจ้างคนที่พบเห็น เพื่อที่จะไม่ให้บอกใคร ถ้าไม่รับปาก หรือไม่รับทองคำนั้นมา ผีโพงก็จะทำร้าย หรือทำให้เรากลายเป็นผีโพงเหมือนมัน
เมื่อรับทองคำนั้นมาแล้ว ตอนเช้าทองคำนั้นก็จะกลายเป็นใบไม้ ก้อนหิน ก้อนอิฐ หรือถ่านมี่ เหมือนเดิม คนที่พบเห็นจะต้องเก็บนี้เป็นความลับ แต่ถ้าจะบอกกับผู้อื่นก็ห้ามพูดชื่อ ว่าใครเป็นผีโพง ถ้าเกิดพูดชื่อออกไป ผีโพงจะมีญาณรับรู้ได้ทันทีว่าเราเอาความลับของมันไปบอกคนอื่น มันก็จะตามมาทำร้ายเราที่บ้าน โดยใช้ ก้านกล้วยแม่หม้าย (ก้านกล้วยแม่หม้าย คือก้านกล้วยที่เอาใบตองออกแล้ว เหลือใบตองส่วนปลายไว้นิดหน่อย) พุ่งข้ามหลังคา หรือใต้ถุนบ้าน
ฉะนั้นในคนสมัยก่อนมักจะบอกให้เราฟันก้านกล้วย ออกสอง 2 ท่อน หรือหลายๆท่อน เพื่อที่จะไม่ให้ผีโพงนั้นนำไปใช้ได้อีก
ชาวบ้านพบเห็นผีโพงครั้งสุดท้ายในช่วงปี พ.ศ. 2514 หลังจากนั้นก็ไม่มีใครพบเห็นอีก
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
|