แรกเริ่ม พ.ต.ท.ทักษิณ มีทุนทั้งเนื้อทั้งตัว คือ
ปริญญาด๊อกเตอร์ เงิน 2 แสนบาท กับรถเบนซ์เก่าๆ 1 คัน ราคาประมาณ 1 ล้านบาท

เริ่มต้น พ.ต.ท.ทักษิณ ทำธุรกิจ เปิดร้านผ้าไหมเล็กๆ ปรากฏว่า ขายไปได้ 1 เดือน ไปไม่รอด เจ๊ง ต้องขายกิจการ

เปลี่ยนมาทำธุรกิจซื้อหนังมาฉาย แรกๆ ก็กำไรดี มีเงิน ซื้อโรงหนัง ราชวัตร เป็นของตัวเอง
แต่ตอนหลัง ตลาดหนังเปลี่ยน หนังที่ซื้อมาอยู่ในสต๊อก ขายไม่ออก เจ๊ง เป็นหนี้ ถึง 30 ล้านบาท
ยังดี ที่ยังพอมีทุน คือ โรงหนัง ราชวัตร เหลืออยู่ จึงเปลี่ยนไอเดีย ทุบโรงหนังทิ้ง
สร้างคอนโดมิเนี่ยมหรู ใจกลางเมือง แทน

โชคร้ายมาเยือนตั้งแต่เริ่มก่อสร้างคอนโดมิเนี่ยม
เมื่อรัฐบาลออกกฎหมายห้ามสร้างตึกสูงเกิน 7 ชั้น ในเขตพระราชฐาน
ทำให้ โครงการ คอนโด 15 ชั้น เป็นอันต้องล้มครืน กำไร อันหวัง อีก 8 ชั้น มีอันต้องสลายไปในพริบตา
ที่แย่ไปยิ่งกว่านั้น พอสร้างเสร็จ ช่อง 3 เอาเรื่อง ตึกนรกคอนโดมิเนี่ยม มาฉาย
ทำให้ ผู้คนเกิดหวาดกลัว ไม่กล้ามาอยู่ โครงการ คอนโด จึงเจ๊ง  เป็นหนี้ เพิ่มขึ้นมา ถึง 50 ล้านบาท


ช่วงนี้ เป็นช่วงจนตรอก คนตามทวงหนี้ เช็คเด้ง
แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ยังคงไม่ท้อ กัดฟันสู้ เปลี่ยนมาลงทุนทำธุรกิจ เกี่ยว การซื้อขาย คอมพิวเตอร์
ก็ปรากฏว่า เจอการลดค่าเงินบาท ในสมัยพลเอกเปรม ทำให้บริษัทขาดทุนอย่างหนัก
เป็นหนี้เป็นสิน เพิ่มขึ้นมาอีก ถึง 200 ล้านบาท

ปี 28-29 เริ่มทำธุรกิจถูกทาง ด้วยการ หันไปทางธุรกิจโทรคมนาคม
สมัยนั้น ผู้คน ยังไม่ค่อยให้ความสนใจ เพราะเห็นว่า โทรคมนาคม เป็นเรื่อง เพ้อฝัน ไกลตัว
และส่วนใหญ่ กิจกรรมต่างๆ ก็จำกัด อยู่กับทางภาครัฐเท่านั้น

เริ่มต้น ทักษิณ ทำโครงการขอสัมปทาน แพ็กลิงค์
แต่ขัดใจกับบริษัทหุ้นส่วนต่างชาติ จึงต้องขายหุ้นถอนตัวออกมา
ต่อมาเปลี่ยนมาทำโครงการวิทยุบนรถเมล์ ก็ปรากฏว่าเจ๊ง ล้มเหลว เพราะเสียงการจราจร บ้านเราดังเกินไป
ขาดทุนบักโกรกไปอีก 40 ล้านบาท

ต่อมา ทุ่มเงินมหาศาล ขอสัมปทาน โครงการเซลลูล่าร์ 900 ในปี 2533 ทำเอาคู่แข่งหลายรายถึงกับผงะ
แม้ระบบสัญญาณ เซลลูล่าร์ 900 จะมีปัญหา ถูกผู้ใช้ต่อว่า อย่างดุเดือด
แต่โชคดี ที่ ช่วงนั้น เศรษฐกิจประเทศ ไต่ขึ้นระดับสูงสุด ถึงจะเป็นสภาพฟองสบู่ ที่ใกล้แตก
แต่ก็ทำให้ ยอดขายพุ่งกระฉูด นำพาหุ้นชิน พุ่งทะยานขึ้นอย่างรวดเร็ว

พ.ต.ท.ทักษิณ หันมาทำธุรกิจ โฟนลิงค์  ทุ่มเงิน ขอสัมปทาน ถึง 500 ล้านบาท ทำเอาคู่แข่งตะลึง อีกครั้ง
แต่โครงการนี้ปรากฏว่า ขาดทุน จนต้องไปชวนให้ สิงค์โปร์ เข้ามาร่วมลงทุนด้วย  

โครงการดาวเทียม ไทยคม เกิดขึ้น ในสมัย รัฐบาล ชาติชาย
พ.ต.ท.ทักษิณ  รู้ดีว่า โครงการนี้ พลาดไม่ได้ เพราะ โลกกำลังจะเปลี่ยนไป จึงยื่นซองประมูล
เสนอผลประโยชน์สูงสุดแก่รัฐ โดยเสนอผลประโยชน์ให้รัฐ 15.33 เปอร์เซ็น
ตลอดอายุสัมปทาน 30 ปี และประกันผลกำไรขั้นต่ำไว้ 1350 ล้านบาท
เป็นไปตามคาด ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้รับชัยชนะในการประมูล

ต่อมา มีข่าวอื้อฉาว ว่า มีลับลมคมในในการประมูล โดยบริษัท วาเคไท ไม่พอใจ ที่ ชินคอร์ป ชนะ
โดยให้เหตุผลว่า ตนได้ยื่นข้อเสนอที่ดีกว่า ชินคอร์ป
คุณ สมัคร สุนทรเวช รมว.คมนาคม กำลังจะนำหนังสือยื่นคัดค้านเข้าใน ครม.
แต่ รสช ก็เข้ามาปฏิวัติเสียก่อน


รสช สั่งทบทวนโครงการใหม่ โดยเรียก ชินวัตร เข้าไปต่อรองเพิ่มเติมเงื่อนไข โดย ชินวัตร ต้องยอม
ลดการคุ้มครองการลงทุน ซึ่งกระทรวงคมนาคมเป็นผู้เสนอไว้เดิม 25 ปี เป็นเหลือเพียง 8 ปี
พร้อมเสนอ ช่อง สัญญาณฟรี อีก 1 ช่อง กว่าจะตกลงกันได้ ใช้เวลายาวนานเกือบ 2 ปี

วันที่ 18 ธันวาคม 2536 ดาวเทียมไทยคม ถูกยิงขึ้นฟ้า
พ.ต.ท. ทักษิณ กลายเป็นนักธุรกิจ ที่ประสบความสำเร็จสูงสุด ตั้งแต่อายุเพียง 40 ต้นๆ เท่านั้น ..

ต่อมา พ.ต.ท.ทักษิณ ก้าวเข้าสู่การเมืองครั้งแรก จากการชักชวน ของ พลตรี จำลอง
ปรากฏว่า ล้มเหลว ไม่เป็นท่า เนื่องจากอุดมการณ์พรรคพลังธรรม ค่อนข้างอยู่ในโลกอุดมคติ
ขายได้เฉพาะ กับ คนกลุ่มเดียวเท่านั้น ไม่สามารถขายให้กับคนกลุ่มใหญ่ได้
พ.ต.ท.ทักษิณ จึงต้อนถอนตัวจากไป

เกิดวิกฤติ ปี 40 เนื่องจากการลดค่าเงินบาท ข่าวลือซุบซิบว่า พ.ต.ท.ทักษิณ รู้ข่าววงในว่าจะมีการลดค่าเงิน
จึงไม่เจ็บตัวหนักจากการลอยตัวของค่าเงินบาทคราวนั้น แม้จะรอดพ้นวิกฤติ มาได้
แต่ในแง่ธุรกิจ ก็ได้รับผลกระทบแบบเต็มๆ เนื่องจากผู้คนตกงาน ยอดคืนเครื่อง ยอดหนี้ค้างชำระ ก็พุ่งพรวด
จน เอไอเอส ถึงกับเหงื่อตก แต่เนื่องจากชินคอร์ป อยู่ได้ด้วยระบบ และ รากฐานยาวนาน
ประกอบกับได้มือดี คอยช่วยเหลือ จึงพ้นวิกฤตินั้นมาได้

หลังจากสะสางปัญหาภายใน พ.ต.ท.ทักษิณ กระโจนเข้าสู่วงการเมือง ด้วยการก่อตั้ง พรรคไทยรักไทย
และได้จัดตั้งรัฐบาล ถึง 2 สมัย ด้วยรูปแบบการบริหารใหม่ ประกอบกับเศรษฐกิจเอเชีย ที่กำลังฟื้นตัว
พ.ต.ท.ทักษิณ จึงนำพาเศรษฐกิจไทย พุ่งทะยานไปข้างหน้า อย่างไม่หยุดยั้ง

ในระหว่างนี้ ชินคอร์ป ภายใต้การนำของ CEO บุญคลี เห็นว่า ธุรกิจมือถือ กำลังจะถึงจุดอิ่มตัว
เนื่องจากมีการแข่งขันกันสูง จึงได้เริ่มหันมาลงทุน ในธุรกิจ ด้านอื่น คือ ธุรกิจบันเทิง, คอนซูเมอร์ไฟแนนซ์ และธุรกิจขนส่ง
ส่งผลให้ มูลค่าทรัพย์สินของครอบครัว ตระกูล ชินวัตร มีมากกว่าแสนล้านบาท

ตอนนี้ นายกทักษิณ ขายหุ้น ให้กับ ทุนยักษ์ใหญ่ สิงค์โปร์ .. เป็นเรื่องที่น่าคิดว่า ก้าวต่อไป ของ ทักษิณ จะทำอะไรต่อไป