กด like เพื่อติดตามข่าวสารดีๆ จาก cmprice.com VVVVVV
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
© เนื้อหาข่าว/กระทู้
นายณรงค์ ตนานุวัฒน์ ผู้อำนวยการ ศูนย์บริการการค้าและการลงทุน จังหวัดเชียงใหม่ หรือ TIS-C เปิดเผยถึงความเป็นไปได้ในการกอสร้างท่าอากาศยานเชียงใหม่แห่งที่ 2 ว่า ในอดีตเคยมีการศึกษาเรื่องการก่อสร้างท่าอากาศยานเชียงใหม่แห่งที่ 2 จากข้อมูลเดิมมีการพูดถึงพื้นที่สร้างสนามบินแห่งที่ 2 ไว้ในพื้นที่สนามบินเก่าของญี่ปุ่นในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ในตำบลแม่ปูคา อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งถือเป็นพื้นที่ที่เหมาะสมทั้งสภาพภูมิประเทศ และลักษณ์โดยรวมที่เอื้ออำนวย ทั้งทิศทางของลมที่พัดมาในพื้นที่ดังกล่าวเหมาะสมกับการขึ้นลงของเครื่องบิน รวมทั้งทำเลที่ตั้งยังถือว่าไม่ห่างไกลจากตัวเมืองมากนัก มีระยะทางประมาณ 10 กว่ากิโลเมตรเท่านั้น
ทั้งนี้ปัจจุบันต้องยอมรับว่าเศรษฐกิจของ จังหวัดเชียงใหม่ที่เติบโตอย่างรวดเร็วทำให้ตัวเมืองขยายจนสนามบินที่ตั้ง อยู่กลายเป็นสนามบินที่มีสภาพแวดล้อมอยู่ในตัวเมืองใกล้ชิดชุมชน จึงมีปัญหาเรื่องผลกระทบด้านเสียงตามมา ทั้งต่อบ้านเรือนประชาชน สถาบันการศึกษา และโบราณสถานที่ตั้งอยู่ตามแนวขึ้นลงของเครื่องบิน เพราะมีเครื่องบินขึ้น-ลงวันละกว่า 100 เที่ยวบิน เชื่อว่าหากรัฐบาลเล็งเห็นว่าท่าอากาศยานเชียงใหม่ในปัจจุบันแออัดแล้ว อาจพิจารณาให้มีการขยายหรือสร้างสนามบินแห่งที่ 2 ขึ้นมารองรับ โดยขณะนี้รัฐบาลก็มีโครงการขยายถนนวงแหวนรอบที่ 4 เพิ่มเติมในจังหวัดเชียงใหม่เพื่อรองรับการขยายตัวของเมืองทั้งด้านการค้า และการลงทุน
นายธานินทร์ สุภาแสน ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า จังหวัดได้นำเสนอโครงการเมืองใหม่ ต่อนายกรัฐมนตรีซึ่งเดินทางมามอบนโยบายให้กับผู้ว่าราชการจังหวัดใน 8 จังหวดภาคเหนือตอนบนเมื่อปลายเดือนธันวาคม 2555 ที่ผ่านมา โดยโครงการเมืองใหม่นั้นเดิมในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีเคยมีการศึกษาพื้นที่อำเภอสันกำแพง แม่ออนและ อ.บ้านธิ ลำพูน แต่ยังไม่มีความคืบหน้า จังหวัดจึงนำมาทบทวนใหม่และเสนอให้นายกรัฐมนตรีพิจารณาใหม่อีกครั้งเพราะ เห็นว่าเมืองเชียงใหม่ในปัจจุบันกำลังขยายตัวมีการลงทุนเกิดขึ้นจำนวนมาก จึงต้องวางแผนหาพื้นที่รองรับการขยายตัวของเมืองในอนาคต
ส่วนแผน โครงการเมืองใหม่ยังมีแนวทางศึกษาเรื่องการสร้างสนามบินแห่งที่ 2 ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดเชียงใหม่ หากมีความพร้อมเชื่อว่ารัฐบาลจะผลักดันให้เกิดขึ้นอย่างแน่นอนในช่วง 5 -10 ปี เนื่องจากปัจจุบันท่าอากาศยานเชียงใหม่เริ่มแออัด ตัวเลขผู้โดยสารในปีนี้มีมากกว่า 4.5 ล้านคนขณะที่สายการบินทั้งในและต่างประเทศที่มาใช้บริการมี 16 สายการบินแล้ว"นายธานินทร์ กล่าว
ข้อมูลข่าวเก่า เกี่ยวกับเรื่องนี้
เปิดทิศทางโตภาคเหนือ เมืองใหม่สันกำแพง/สนามบินบ้านธิ
ในระยะ 5 ปีนับจากนี้ 3 จังหวัดชายแดนภาคเหนือ ได้แก่ เชียงใหม่ ลำพูน เชียงราย กำลังจะถูกตีกรอบการวางผังเมืองให้มีความเชื่อมโยงกัน โดยเฉพาะผังโครงข่ายคมนาคม เพื่อรองรับความเป็นศูนย์กลางของอนุภูมิภาคอินโดจีน
พื้นที่ฝั่งตะวันออกของเชียงใหม่ บนตำแหน่งพื้นที่บ้านธิ-สันกำแพง จะถูกพัฒนาให้เป็นเมืองใหม่ และเป็นไปได้ที่จะมีสนามบินแห่งใหม่อยู่บนพื้นที่แห่งนี้ด้วย
เมืองหริภุญไชยลำพูน จะยังคงถูกวางแนวเส้นให้เป็นเมืองอุตสาหกรรม แต่จะตีกรอบพื้นที่การอนุรักษ์เมืองเก่าให้คงสภาพเดิมไว้ให้มากที่สุด พร้อมกับประสานแนวโครงข่ายคมนาคมพัฒนาระบบรถไฟรางคู่เชื่อมเชียงใหม่-ลำพูน เพื่อเอื้อต่อระบบเศรษฐกิจ
ขณะเดียวกันการเชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคมเชียงใหม่กับเชียงราย ในอนาคตจะมีการสร้างถนนเส้นใหม่จากอำเภอสันกำแพง - แม่ออน - คอวัง (อำเภอแจ้ซ้อน ลำปาง) - อำเภอพาน (พะเยา) - เชียงราย
บทบาทของภาคเหนือที่ถูกวางให้อยู่ในตำแหน่ง "ศูนย์กลางของอนุภูมิภาคในแถบอินโดจีน ด้านการค้า การบริการ และอุตสาหกรรมทางการเกษตร" จึงน่าสนใจยิ่งว่า หน้าตาของผังที่จะรองรับการเติบโตของเมืองในระยะ 50 ปีข้างหน้า จะเป็นเช่นไร
*********
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา กรมโยธาธิการและผังเมืองได้จัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการ ครั้งที่ 2 เรื่อง การวางและจัดทำผังประเทศและผังภาค : วิสัยทัศน์การพัฒนาพื้นที่ภาคเหนือ โดยระดมสมองภาครัฐ-เอกชนในภาคเหนือ เพื่อร่วมกันกำหนดวิสัยทัศน์ตีกรอบผังภาคเหนืออย่างเป็นระบบ วางตำแหน่งชัดเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคอินโดจีน
ดร.สุรพล คัชมาตย์ ผู้อำนวยการสำนักผังประเทศและผังภาค กรมโยธาธิการและผังเมือง เปิดเผยว่า กรมโยธาธิการและผังเมือง ได้ดำเนินโครงการวางและจัดทำผังประเทศและผังภาค ระหว่างปี 2547 - 2549 ซึ่งการสัมมนาที่เชียงใหม่ครั้งนี้เป็นการดำเนินการเป็นครั้งที่ 2 ต่อเนื่องจากครั้งที่ 1 ที่จัดขึ้นเมื่อปี 2547 ที่ผ่านมา
ซึ่งครั้งนั้นเป็นการระดมความคิดเห็นเพื่อให้ทราบถึงปัญหาและความต้องการ ของประชาชนในการพัฒนาพื้นที่ในระดับประเทศและระดับภาค โดยกรมโยธาธิการและผังเมืองจะนำข้อเสนอแนะที่ได้รับจากประชาชน หน่วยงานภาครัฐและเอกชน ไปปรับใช้เป็นแนวทางในการจัดทำผังอย่างบูรณาการในการทำงานแต่ละด้าน เพื่อพัฒนาประเทศอย่างเป็นระบบ ก่อให้เกิดการพัฒนาที่สมดุลทั้งด้านกายภาพ เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
สำหรับในพื้นที่ภาคเหนือพบว่ายังมีปัญหาหลายด้านได้แก่ 1.การพัฒนาทางเศรษฐกิจและการขยายตัวของเมืองส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลง วิถีชีวิต ศิลปวัฒนธรรม และสภาพแวดล้อมของชุมชน ซึ่งการพัฒนาพื้นที่จังหวัดในภาคเหนือไม่เท่าเทียมกัน การพัฒนาพื้นที่การค้าชายแดนไม่คำนึงถึงเศรษฐกิจที่แท้จริงของเมือง 2.ทรัพยากรธรรมชาติ สภาพแวดล้อม และแหล่งท่องเที่ยวเสื่อมโทรม
3.ขาดการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ แหล่งต้นน้ำลำธาร ขาดการพัฒนาและเชื่อมโยงระบบชลประทานให้ครอบคลุมพื้นที่ทำการเกษตรกรรมที่ เหมาะสมและยั่งยืน 4.ขาดการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการลงทุน ขาดการพัฒนาและส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน 5.ปัญหามลภาวะจากโรงงานอุตสาหกรรม
ทั้งนี้ จากการระดมสมองของประชาชน หน่วยงานภาครัฐและเอกชนในภาคเหนือ พบว่าต้องการให้ผังภาคเหนือมีทิศทางการพัฒนาที่สมดุลทุกภาคส่วน ได้แก่ 1.การพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่ภาคเหนือ ต้องคำนึงถึงพื้นที่พัฒนาตามแนว East - West Economic Corridor, North - South Economic Corridor และโครงการพัฒนาในพื้นที่สำคัญเช่น GMS, ASMECS เป็นต้น ซึ่งการวางแผนพัฒนาทางเศรษฐกิจและพื้นที่ ต้องคำนึงถึงการอนุรักษ์ รักษาวิถีชีวิตชุมชนดั้งเดิม ประเพณี ศิลปวัฒนธรรม แลทรัพยากรธรรมชาติให้อยู่ร่วมกันได้ พร้อมกับต้องสนับสนุนการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์
2.พัฒนาให้ภาคเหนือเป็นศูนย์กลางในอนุภูมิภาค พัฒนาพื้นที่ชุมชนชายแดน เป็นประตูการค้าสู่ประเทศเพื่อนบ้าน 3.การวางแผนและผังพื้นที่ในอนาคต ต้องคำนึงถึงการพัฒนาเพื่อลดความเหลื่อมล้ำของเมืองกับชนบท ต้องวางให้เกิดความสมดุลระหว่างการอนุรักษ์ พัฒนา และการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพ
4.กำหนดเขตการใช้ที่ดินประเภทต่างๆให้ชัดเจนและเหมาะสม และพื้นที่ที่เหมาะสำหรับการเกษตร ส่งเสริมเกษตรแบบชีวภาพ พัฒนาผลผลิตปลอดภัยจากสารพิษและส่งเสริมอุตสาหกรรมต่อเนื่องจากการเกษตร 5.ควรพัฒนาระบบโครงข่ายคมนาคมขนส่งของพื้นที่ภาคเหนือให้เป็นระบบเชื่อมโยง กับประเทศเพื่อนบ้าน และการพัฒนาระบบขนส่งแบบ One Stop Service 6.ส่งเสริมอุตสาหกรรมที่มีอยู่แล้วให้มีความชัดเจนเป็นรูปธรรม ไม่ก่อให้เกิดมลภาวะและสอดคล้องกับการพัฒนาในพื้นที่ 7.ควรเร่งแก้ปัญหาการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างบูรณาการและยั่งยืน 8.การพัฒนาระบบการศึกษาเพื่อสร้างบุคลากรที่มีคุณภาพรองรับการพัฒนาประเทศ และควรมีศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีและภูมิปัญญาท้องถิ่น
ดร.สุรพล กล่าวว่า ยุทธศาสตร์ด้านผังเมืองภายในระยะ 5 ปีนับจากนี้ จะเร่งพัฒนาผังของ 3 จังหวัดชายแดนภาคเหนือ ได้แก่ เชียงใหม่ ลำพูน เชียงราย ขณะนี้อยู่ระหว่างการยกร่าง โดยเน้นหนักการสร้างโครงข่ายคมนาคมเต็มระบบเพื่อที่จะสามารถเชื่อมการค้ากับ ประเทศเพื่อนบ้านในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง รวมถึงการค้ากับประเทศในกลุ่มอินโดจีนด้วย
วางผังบ้านธิ-สันกำแพงผุดเมืองใหม่
เชื่อมโครงข่ายคมนาคม 3 จังหวัด
สำหรับจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งถูกวางตำแหน่งให้เป็นเมืองศูนย์กลางเศรษฐกิจของภาคเหนือ จะต้องเร่งแก้ไขปัญหาเร่งด่วนเช่น ปัญหาการจราจร การอนุรักษ์เมืองให้คงสภาพเดิมไว้ให้มากที่สุด การพัฒนาแหล่งน้ำแม่น้ำปิง คลองแม่ข่า การบำบัดน้ำเสีย และการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรม
เมื่อนโยบายรัฐบาลสนับสนุนให้เชียงใหม่เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวและการ ค้าเชื่อมกับประเทศเพื่อนบ้านทางอากาศ ซึ่งในระยะ 5 - 10 ปี จำเป็นต้องขยายเมืองใหม่เพื่อรองรับการเติบโตและความแออัดของเมืองเชียงใหม่ ในปัจจุบัน โดยกรมโยธาธิการและผังเมืองจะกำหนดตำแหน่งของสนามบินแห่งใหม่เพื่อรองรับ ความเป็นศูนย์กลางการบินได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ สนับสนุนการท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมที่จังหวัดลำพูนด้วย ซึ่งสนามบินแห่งใหม่น่าจะเกิดขึ้นหลังจาก 10 ปีนับจากนี้ ส่วนพื้นที่ที่มีความเหมาะสมและมีความเป็นไปได้น่าจะอยู่ในพื้นที่บ้าน ธิ-สันกำแพง ที่จะมีถนนวงแหวนรอบนอกเชื่อมโยงอีก 1 เส้นระหว่างแม่โจ้ - สนามบินแห่งใหม่ -นิคมอุตสาหกรรมจังหวัดลำพูน - อำเภอป่าซาง ลำพูน โดยหลักการคือผู้ที่เดินทางมาจากอำเภอฝาง ไม่จำเป็นจะต้องเข้าเมืองเชียงใหม่ และจะมีโครงการรถไฟฟ้าไปที่สนามบิน ซึ่งทำให้เกิดพื้นที่เมืองใหม่ที่จะโตที่ บ้านธิ - สันกำแพง ซึ่งมีตำแหน่งอยู่ทิศตะวันออกของเมือง เป็นพื้นที่ที่มีความเหมาะสมมากที่สุด และโครงการสร้างเมืองใหม่ก็เคยมีการศึกษาไว้เมื่อกว่า 10 ปีที่ผ่านมาตามโครงการพัฒนาเมืองแฝดเชียงใหม่ - ลำพูน
ขณะเดียวกันการเชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคมระหว่างเชียงใหม่กับเชียงราย ในอนาคตจะมีการตัดถนนเส้นใหม่โดยยกร่างแนวเส้นทางแล้วจากอำเภอสันกำแพง - แม่ออน - คอวัง (อำเภอแจ้ซ้อน ลำปาง) - อำเภอพาน (พะเยา) - เชียงราย ซึ่งเส้นทางใหม่นี้มีเส้นทางเดิมอยู่แล้ว เพียงแต่ปรับปรุงปรุงในบางช่วง และบางช่วงอาจต้องเจาะภูเขาที่ซับซ้อนเหมือนประเทศจีน ซึ่งจะสามารถย่นระยะเวลาเดินทางจากเชียงใหม่ - เชียงราย ให้เร็วมากยิ่งขึ้น โดยถนนเส้นนี้จะเป็นถนนไป 1 เลน มา 1 เลน ที่ชาวบ้านสามารถข้ามถนนเชื่อมโยงถึงกันโดยสังคมชุมชนเดิมยังคงอยู่ ซึ่งเป็นข้อเสนอของชาวบ้านหลังจากได้รับบทเรียนจากถนนหลวงสายดอยสะเก็ตที่ ตัดขาดความเป็นชุมชนสองฝั่งออกจากกันโดยสิ้นเชิง
ส่วนจังหวัดเชียงรายตัวเมืองจะยังเป็นศูนย์กลาง และมีกลุ่มเมืองโดยรอบเช่น อำเภอแม่สาย เวียงเชียงแสน อำเภอเชียงของเป็นประตูส่งออกสินค้าและอุตสาหกรรม และพื้นที่พัฒนาใหม่อยู่ที่อ.เทิง ขณะเดียวกันการพัฒนาอุสาหกรรมการค้า การขนส่งก็จะต้องดูแลการอนุรักษ์โบราณสถานควบคู่กันไปด้วย โดยเฉพาะพื้นที่ชุ่มน้ำเชียงแสน
ส่วนจังหวัดลำพูน ในอนาคตจะยังคงเน้นในภาคอุตสาหกรรมส่งออกแบบไม่มีมลพิษ ขณะเดียวกันจะตีกรอบพื้นที่การอนุรักษ์เมืองเก่าให้คงสภาพเดิมไว้ให้มากที่ สุดเนื่องจากเป็นเมืองที่มีโบราณสถานมาก เช่นการอนุรักษ์พื้นที่แม่น้ำกวงฝั่งตะวันตก และพัฒนาให้เป็นเมืองที่มีพื้นที่สีเขียวล้อมรอบ ส่วนด้านตะวันออกต่อเนื่องจากพื้นที่อุตสาหกรรมเดิมมาทางดอยติ ก็จะมีนิคมอุตสาหกรรมแห่งใหม่ ที่มีถนนเลี่ยงเมืองเส้นใหม่มารองรับ รวมทั้งกำลังจะมีโครงข่ายคมนาคมคือการพัฒนาระบบรถไฟรางคู่เชื่อม เชียงใหม่-ลำพูน เพื่อเอื้อต่อระบบเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ คาดว่าการพัฒนาผังของทั้ง 3 จังหวัดดังกล่าว จะต้องใช้งบประมาณจังหวัดละประมาณ 4,000 - 5,000 ล้านบาท. โดยขณะนี้กรมโยธาธิการและผังเมืองได้ยกร่างแล้วจะนำเสนอกระทรวงมหาด
ไทยปลายเดือนมีนาคมนี้ ซึ่งเมื่อกระทรวงเห็นชอบแล้ว จะมีคณะกรรมการชุดใหญ่ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 3 จังหวัดเป็นกรรมการด้วย และกรมโยธาธิการและผังเมืองเป็นฝ่ายเลขาฯ พิจารณาอีกขั้นหนึ่ง
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
|
|
|