ลิงก์ผู้สนับสนุน
© เนื้อหาข่าว/กระทู้
วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม 2556 เวลา 13.00 – 16.00 น. ณ ศูนย์สร้างสรรค์เมืองเชียงใหม่
คณะวิทยากรผู้ร่วมเสวนา
ศ.ดร.ธเนศวร์ เจริญเมือง ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
นายเพชรวรรต วัฒนพงศ์ศิริกุล ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
นายเมธาดล วิจักขณะ ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ 8 เชียงใหม่
นายทัศนัย บูรณุปกรณ์ นายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่
นายอินสม ปัญญาโสภา นายกสมาคมหนังสือพิมพ์ภาคเหนือ
ดร.ณัฐกร วิทิตานนท์ อาจารย์จากสำนักวิชานิติศาสตร์ ม.แม่ฟ้าหลวง
ดร.เพ็ญสุภา สุขคตะ ใจอินทร์ นักวิชาการอิสระ กวิณี คอลัมนิสต์มติชนสุดสัปดาห์
โดยมีผู้เข้าร่วมฟังการเสวนาประมาณ 150 คน
สรุปเนื้อหาสาระจากการเสวนาได้ดังนี้
อันที่จริงชาวเชียงใหม่เฝ้ารอคอยอย่างใจจดใจจ่อว่าเมื่อไหร่จึงจะมีการย้าย "คอก" อันเป็นผลงานของรัฐบาลสยามเมื่อร้อยกว่าปีก่อน ที่ได้กระทำการเปลี่ยน "หอคำหลวง" ที่ประทับของเจ้านายฝ่ายเหนือ ให้กลายเป็น "เรือนจำ" กลางเวียง ให้ออกไปแถบอำเภอรอบนอกเสียที โดยมีกระบวนการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องนับแต่ปี 2545 จนกระทั่งรัฐบาลได้มีมติ ครม. ประกาศให้มีการย้ายทัณฑสถานหญิงออกไปอยู่ที่แม่ริมเมื่อเดือนธันวาคม 2555 ที่ผ่านมา
ความฝันของคนเชียงใหม่ วาดไว้ว่าหลังจากทุบอาคารเรือนจำออกทั้งหมดแล้ว ก็คงถึงเวลาแปรสภาพ"คอก" ให้กลับคืนสู่ "ข่วงหลวงเวียงแก้ว" หรือลานประวัติศาสตร์สมัยล้านนากันอีกครั้ง โดยเชื่อว่ายังมีหลักฐานอยู่ใต้ชั้นดินอีกจำนวนมหาศล
แต่แล้วกลับมีกระแสข่าวออกมาว่า พื้นที่ "ข่วงหลวงเวียงแก้ว" ดั้งเดิมผืนนี้จักพัฒนาปรับโฉมจากคุกให้เป็น"สวนพุทธธรรม" ในนาม "พุทธมณฑลเชียงใหม่" เนื่องในวาระพุทธชยันตีี 2600 ปี โดยที่ไม่มีการกล่าวถึงโครงการศึกษาขุดค้นขุดแต่งทางโบราณคดีแม้แต่น้อย
ชาวเชียงใหม่ยอมให้รื้อคอกเพื่อถอนขึด
วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคมที่ผ่านมา จึงได้มีการเปิดเวทีเสวนาเรื่อง "จากคุ้มสู่คอก จากคอกสู่..." ณ ศูนย์สร้างสรรค์เมืองเชียงใหม่ นำโดย ศ.ดร.ธเนศวร์ เจริญเมือง ผู้เป็นหัวหอกรณรงค์ขับเคลื่อนให้มีการย้ายทัณฑสถานหญิงออกไปจากกลางเวียงมานานกว่า 10 ปีแล้ว
จากคำชี้แจงของนายเพชรวรรต วัฒนพงศ์ศิริกุล ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้สร้างความกระจ่างชัดให้แก่ชาวเชียงใหม่ในระดับหนึ่งว่า จะมีการทุบรื้ออาคารทุกหลังในบริเวณเรือนจำทัณฑสถานหญิงนี้อย่างแน่นอน โดยกำหนดฤกษ์งามยามดีถือเอาวันประสูติของพระญามังราย ผู้สถาปนาเวียงแก้วหรือพระราชวังแห่งนี้ ในเสาร์ที่ 26 มกราคม 2556 โดยได้เชิญนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มาร่วมเป็นประธานในพิธีสูตรถอน เพื่อให้เกิดความเป็นสิริมงคล
อีกทั้งตลอดระยะเวลา 9 วันก่อนหน้านั้นได้มีการนิมนต์พระสงฆ์จาก 14 อำเภอในเชียงใหม่มาทำพิธีสวดพุทธมนต์ ในบริเวณเรือนจำแห่งนี้ เพื่ออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลแก่นักโทษผู้ล่วงลับไปแล้วด้วยเช่นกัน
ข้อสำคัญยังได้เปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าชมห้องต่างๆ ในทัณฑสถานหญิง เราจึงได้เห็นสภาพเรือนจำแบบห้องขังรวมตั้งแต่ 4 คน ถึง 80 คน ห้องขังเดี่ยว คุกมืด ห้องใต้ดิน แดนประหาร ซึ่งยังหลงเหลือเสาหลักประหาร แม้ว่ายุคหลังไม่ได้ใช้งานอีก
ณ วันนี้ชาวเชียงใหม่ค่อนข้างมีเสียงเป็นเอกฉันท์มากขึ้นกว่าเดิมแล้วว่าอยากให้รื้ออาคารเรือนจำออกไปทั้งหมด ซึ่งเดิมนั้นเคยมีบ้างที่บางคนอยากให้อนุรักษ์อาคารบางส่วนไว้ปรับปรุงเป็นพิพิธภัณฑ์คุก ก็อาจทำได้หากว่าคุกนั้นไม่ได้สร้างทับที่ "หอคำหลวง" หรือหากจะรื้อบางหลัง เก็บไว้บางหลัง ก็ย่อมดูประดักประเดิดอยู่ไม่น้อย
การขับเคลื่อนให้รื้อคุกของชาวเชียงใหม่ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา มิได้ตั้งข้อรังเกียจเดียดฉันท์ต่อตัวอาคารสถาปัตยกรรมว่ามีหรือไม่มีคุณค่า สมควรที่จะอนุรักษ์ไว้เป็นโบราณสถานหรือไม่ แต่เป็นการพูดถึงความทุกข์ทรมานใจทุกครั้งที่ต้องทนเห็นสัญลักษณ์ของเครื่อง "พันธนาการ" ตั้งอยู่ใจกลางมหานครเชียงใหม่
ดังนั้นประเด็นการรื้ออาคารทุกหลังในทัณฑสถานหญิงจึงมิได้ก่อให้เกิดปฏิกิริยาแก่ฝ่ายใด ทั้งนี้ต้องตั้งอยู่บนเงื่อนไขที่ว่า ก่อนจะรื้อต้องให้นักจดหมายเหตุได้เข้าตรวจสอบและทำการบันทึกหลักฐานตามกระบวนวิชาการอย่างละเอียด ไม่ใช่แค่เพียงถ่ายภาพหรือวีดิทัศน์ แต่ยังหมายถึงการเก็บรวบรวมภาพถ่ายเก่า ผังอาคาร สิ่งของเครื่องใช้บางอย่าง รวบรวมไว้ในหอจดหมายเหตุแห่งชาติ เพื่อประโยชน์ในการสืบค้นข้อมูลทางการศึกษา
ข่าวนี้นำมาซึ่งความตื่นเต้นดีใจของชาวเชียงใหม่ บางคนตกใจว่าทำไมช่างเร็วปุบปับกระทันหันนัก ยังไม่ทันตั้งตัวเลยก็จะรื้อคอกเสียแล้ว แต่หลายคนกลับอนุโมทนา คร่ำครวญว่ามันช้าเกินไปเสียด้วยซ้ำ เมื่อเทียบกับความเจ็บปวดที่ชาวล้านนาได้ถูกกระทำนานกว่า 111 ปี นับแต่พื้นที่หอคำหลวงแห่งนี้ได้ถูกปรับเปลี่ยนให้กลายเป็นคุกในสมัยรัชกาลที่ี 5
พลิกคอกสู่ข่วงหลวง อย่ามองข้ามงานโบราณคดี
เมื่อกรมราชทัณฑ์ย้ายออกไปแล้วและได้คืนพื้นที่ให้แก่ราชพัสดุ รัฐมีนโยบายจะทำอะไรต่อล่ะหรือ หลังจากที่ทุบอาคาร คำอธิบายของนายเพชรวรรต วัฒนพงศ์ศิริกุลนั้นมีอยู่ว่าจะปรับพื้นที่แห่งนี้ให้เป็นสวนพุทธธรรม ภายใต้ชื่อ "พุทธมณฑลเชียงใหม่" ในวาระเฉลิมฉลองพุทธชยันตี 2600 ปี
นอกจากพื้นที่ทัณฑสถานหญิงแล้ว ยังมีโครงการผนวกเอาพื้นที่ที่ว่าการอำเภอเมืองเชียงใหม่ กับโรงงานยาสูบมารวมไว้ด้วยกันจำนวนประมาณ 37 ไร่เศษ เพื่อปรับปรุงเป็นสวนสาธารณะของประชาชน แบบทูอินวัน คือกึ่งปฏิบัติธรรม (แต่ไม่มีพระภิกษุจำพรรษาแบบพุทธมณฑล) กึ่งพักผ่อนหย่อนใจออกกำลังกาย (แบบสวนลุมพินี)
ข้อสำคัญสถานที่แห่งนี้จะมีสิ่งก่อสร้างใหม่ อย่างน้อยสามรายการคือ
หนึ่ง จะอัญเชิญ "พระนวพุทธชยันตี" หรือพระพุทธรูปปางตรัสรู้ ที่รัฐบาลได้จัดสร้างมีจำนวน9 องค์ องค์หนึ่งจะนำมาประดิษฐานไว้ที่นี่
สอง จะก่อสร้าง "สังเวชนียสถานจำลอง" ทั้ง 4 แห่ง เพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์สำคัญที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าได้แก่ ประสูติ ตรัสรู้ ปฐมเทศนา และปรินิพพาน
สาม จะจัดสร้างอาคารพื้นถิ่นล้านนาด้วยไม้สักหลังใหญ่โตมโหฬาร ในทำนองการจำลอง "ข่วงหลวงเวียงแก้ว" ที่ประทับของเจ้านายฝ่ายเหนือให้คนเข้าชม
และแน่นอนว่าในบริเวณนี้ย่อมมีพื้นที่เหลือพอ สำหรับจัดสร้างพิพิธภัณฑ์จัดแสดงประวัติความเป็นมาของคอกด้วยเช่นกัน
แต่คำถามที่ตามมาจากบุคคลต่างๆ ที่ร่วมเสวนาก็คือ ก่อนที่จะเปิดไฟเขียวให้เดินหน้าจัดสร้างอาคารใหม่ๆ เหล่านั้น ได้มีแผนการสำรวจศึกษาขุดค้นทางโบราณคดีที่ซุกซ่อนอยู่ใต้ดินก่อนด้วยหรือไม่ เหตุเพราะพื้นที่นี้ระบุชัดแล้วว่าเคยมีประวัติศาสตร์สืบเนื่องกันมาอย่างยาวนานตั้งแต่ยุคพระญามังรายเมื่อราว 720 ปีก่อน
หากยังไม่มีแผนดังกล่าว จะแน่ใจได้อย่างไรว่าสถานที่ีปลูกสร้างอาคารใหม่ จักไม่ไปทับซ้อนอยู่บนซากฐานของข่วงหลวงเวียงแก้วหลังเดิม
วัตถุประสงค์แรกเริ่มที่ทุกฝ่ายร่วมรณรงค์เรียกร้องให้ย้ายคุกออกไปนั้น ก็เพื่อต้องการฟื้นฟูจิตสำนึกทางด้านประวัติศาสตร์ให้แก่คนล้านนา ด้วยเป็นสิ่งที่ขาดหายไป ชาวเชียงใหม่จึงโหยหาเป็นอย่างยิ่ง หาได้มีการพูดถึงสวนพุทธธรรมกันแต่อย่างใดไม่ เหตุเพราะเชียงใหม่เป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนา มีวัดวาอารามและสถานปฏิบัติธรรมกล่นเกลื่อนอยู่แล้ว มีเรือนพื้นถิ่น บ้านกาแล-สรไน ของจริงให้ชมอยู่ไม่น้อย
ชาวเชียงใหม่ไม่ต้องการเห็น "หอคำหลวง 2” ที่เคยจำลองมาไว้ที่สวนราชพฤกษ์แล้วหนึ่งหลัง ซึ่งไม่ใช่รูปแบบที่ถูกต้องเพราะจำลองมาจากวิหารวัดพันเตาที่เชื่อว่าพระเจ้ามหโหตรประเทศรื้อถวายแก่วัด ซึ่งรูปแบบของหอคำหลวงสมัยโบราณนั้นยังไม่มีใครทราบแน่ชัดว่ามีรูปร่างหน้าตาอย่างไร
โอกาสที่จะเปิดพื้นที่สำหรับการศึกษาค้นคว้าทางโบราณคดีกลางเวียงเชียงใหม่มิใช่ว่าจะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ จึงน่าจะมีแผนบริหารจัดการให้เกิดประโยชน์จากพื้นที่ดังกล่าวอย่างเต็มที่ เพราะบางทีลวดลายศิลปะที่ได้จากข่วงหลวงเวียงแก้วอาจไม่เหมือนกับแหล่งโบราณคดีอื่นใดเลยก็ได้ อันอาจนำมาใช้ต่อยอดให้แก่ ฝ่ายสถาปนิกที่ได้รับโจทย์ให้ออกแบบคุ้มไม้สักอลังการ หรือนักผังเมืองที่ต้องปรับปรุงภูมิทัศน์สังเวชนียสถาน จะได้ไม่ต้องหนักใจในการทำงานขั้นต่อๆ ไปด้วย
ปัญหาคือมิควรเร่งรัดโครงการด้วยเงื่อนไขของเวลาอันจำกัดว่าต้องทำทุกอย่างให้เสร็จทันในปีงบประมาณ2556 เท่านั้น เหตุเพราะงานโบราณคดีมีขั้นตอนที่ละเอียดอ่อนต้องใช้เวลามากพอสมควร
อนึ่ง มิควรเข้าใจว่าเมื่อขออนุมัติงบภายใต้วาระ "พุทธชยันตี" แล้ว ต้องเป็นโครงการที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาเท่านั้น ตัวอย่างของโครงการพุทธชยันตี 2500 ปี ในโอกาส 25 พุทธศตวรรษ ยุคนั้นจอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้ใช้วาระพุทธชยันตีออก พรบ.นิรโทษกรรม และ พรบ.ล้างมลทิน ให้แก่ผู้กระทำผิดทางการเมือง สะท้อนว่าโครงการในวาระพุทธชยันตีนั้นไม่จำเป็นจะต้องก่อสร้างสวนปฏิบัติธรรมตามอย่างพุทธมณฑลเสมอไป
ชาวเชียงใหม่มิได้รังเกียจที่จะมีสวนพุทธธรรมเพิ่มขึ้นอีกแห่งในเมืองนี้ แต่ควรใช้พื้นที่สวนป่าอันร่มรื่นแหล่งอื่นๆ ตามที่เคยมีมติกันก่อนหน้านั้นแล้วว่าเคยพบอยู่แถวอำเภอดอยสะเก็ด
เพียงแต่ขอทวงคืนพื้นที่ของคุ้้มที่ครั้งหนึ่งเคยถูกยัดเยียดให้กลายเป็นคอก กลับคืนมาสู่ประวัติศาสตร์หน้าเดิมนั้นอีกครั้ง ไม่อยากได้อนุสรณ์สถานที่ที่ส่งตรงมาจากส่วนกลางแบบท็อปดาวน์ อยากให้มีการฟังเสียงจากประชาชน
สิ่งที่จังหวัดเชียงใหม่หรือผู้รับผิดชอบโครงการควรดำเนินการมีดังนี้
1. แรกสุด สิ่งก่อสร้างอาคารเรือนจำต่างๆ ของคุกกลางเวียงนั้น ก่อนที่จะถูกทุบทิ้ง ควรเชิญนักจดหมายเหตุ ของสำนักศิลปากรที่ 8 เชียงใหม่ (หัวหน้าหอจดหมายเหตุแห่งชาติเชียงใหม่คือคุณศิริพร ภาณุรัตน์) มาร่วมดำเนินการ พร้อมกับประสานผู้เชี่ยวชาญด้านอุปกรณ์เทคโนโลยีจากวิทยาลัยสื่อเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผ่าน อ. ดร. ภักดีกุล รัตนา) ให้จัดทำการถ่ายภาพบันทึกตัวอาคารที่มีคุณค่าหลายชิ้นไว้ ถ่ายแต่ละมุม แต่ละห้อง ถ่ายองค์ประกอบต่างๆ และถ่ายการลงมือทุบทั้งกระบวนการจนเสร็จสิ้น (Full Documentation) เพื่อจะได้เก็บหลักฐานไว้ในหอจดหมายเหตุ และใช้นำเสนอจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ต่อไป โดยใช้งบของโครงการดังกล่าวตามที่มีมติ ครม. นั้น เนื่องจากแต่ละหน่วยงานไม่ได้ตั้งงบประจำรองรับไว้สำหรับโครงการนี้ อนึ่งเกี่ยวกับการย้ายทัณฑสถานหญิงครั้งนี้ ควรคำนึงถึงเรื่องจิตวิญญาณหรือพิธีกรรมความเชื่อบางอย่างด้วย นั่นคือการย้าย "หอเจ้าพ่อเจตคุปต์" ต้องย้ายตามไปอยู่ที่แม่ริมด้วย หรือการดูแลศาลเจ้าพ่อข้อมือเหล็ก ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากคุกเก่า เป็นต้น
2. ให้จังหวัดแต่งตั้งคณะกรรมการที่จะต้องร่วมคิดร่วมดูแลบริหารการทุบคุกและสร้างข่วงหลวงขึ้นมานั้น ควรเป็นบุคคลมาจากภาคส่วนต่างๆ หลากหลายสาขาอาชีพ มีผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่เป็นประธาน และหากงบประมาณลงมาในช่องสำนักพุทธศาสนาหรือหน่วยงานใดก็แล้วแต่ ให้หัวหน้าส่วนราชการนั้นเป็นเลขานุการ โดยแบ่งคณะทำงานเป็นฝ่ายอำนวยการ ฝ่ายวิชาการโบราณคดีและประวัติศาสตร์ ฝ่ายเอกสารจดหมายเหตุ ฝ่ายดูแลการรื้อถอนอาคารและรักษาสภาพสิ่งแวดล้อม ฝ่ายศิลปวัฒนธรรมประเพณีและพิธีกรรม ฝ่ายออกแบบอาคารและปรับปรุงภูมิทัศน์ ฝ่ายประชาสัมพันธ์ ฝ่ายกฎหมาย ฯลฯ คัดเลือกบุคคลผู้ทรงคุณวุฒิที่มาจากทั้งภาครัฐ ภาคพระสงฆ์ นักการเมือง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคการศึกษา ปราชญ์ชาวบ้าน นักวิชาการอิสระ ภาคธุรกิจท่องเที่ยว สื่อมวลชน ภาคประชาสังคม ไม่ควรให้บริหารโดยคนเพียงไม่กี่คนหรือองค์กรใดองค์กรเดียว เพราะเป็นโครงการระดับชาติ ต้องอุดรูรั่วมิให้มีเสียงร้องเรียนถึงความไม่โปร่งใส การมีหลายฝ่ายจะช่วยให้แง่คิดกว้างขวางมากยิ่งขึ้น สอดคล้องกับกระแสการรณรงค์ "เชียงใหม่จัดการตนเอง"
3. นอกเหนือจากการบริหารจัดการภายในเขตทัณฑสถานหญิงแล้ว ควรพิจารณาต่อไปถึงการทำผังเมืองเชียงใหม่อย่างจริงจัง แบบเป็นระบบให้ครบวงจร ต้องทำ Master Plan ดูทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเชียงใหม่ในทศวรรษหน้า โดยเฉพาะระบบขนส่งสาธารณะ อุโมงค์ใต้ดิน เพราะในเร็วๆ นี้ จะมีรถไฟวิ่งตรงมาจากเชียงของ ทวาย และจากลาว ปรากฏการณ์ใหม่จะอุบัติขึ้นด้วยความรวดเร็วมาก หากไม่เตรียมวางแผนให้ดี ไม่มีระบบขนส่งมวลชน เมืองเชียงใหม่จะยิ่งแย่ลง และคุณภาพชีวิตคนจะลำบากมากขึ้น
4. ความรู้สึกของผู้เข้าร่วมเสวนา เท่าที่ประมวลเกือบทั้งหมด เห็นว่าวัดหรือสถานที่ีปฏิบัติธรรมนั้น มีมากมายหลายแห่งเหลือเกินในประเทศนี้ แต่ว่ามีพระจำพรรษาน้อย ไม่ควรสร้างพุทธมณฑลที่ข่วงหลวงนี้้ เพราะผิดวัตถุประสงค์ดั้งเดิม ต้องไม่รีบร้อนสร้างผลงานสิ่งก่อสร้างที่แปลกปลอมใหม่ แต่ควรดูซากสิ่งก่อสร้างต่างๆ ใต้ดินก่อนว่ามันบอกเรื่องราวอะไร ฐานส่วนไหนเป็นหลักฐานสำคัญ จึงควรคิดให้ถี่ถ้วน หวังผลระยะยาว สร้างองค์ความรู้จากแผ่นดินต้นกำเนิดของเมืองให้คุ้มค่ามากที่สุด จำเป็นอย่างยิ่งที่ีจะต้องขุดค้นหาหลักฐาน เมื่อได้ข้อมูลจนเป็นที่แน่ชัดแล้ว จึงจะกำหนดพื้นที่ที่จะปรับเป็นสวนสาธารณะได้บางส่วน แต่สถานที่ที่เป็นหัวใจหลักก็คือซาก "ข่วงหลวงเวียงแก้ว" ของเดิม มิใช่อาคารเรือนไม้สักหลังใหญ่ที่สุดในโลก น้ำพุ หรือสังเวชนียสถานสี่แห่ง
5
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
|