• ทหารคุ้มกันเข้ม พระอาสา3จว.ใต้ |
โพสต์โดย กรรมกรข่าว , วันที่ 27 ก.ค. 50 เวลา 10:23:39 IP: Hide ip |
กด like เพื่อติดตามข่าวสารดีๆ จาก cmprice.com VVVVVV
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
© เนื้อหาข่าว/กระทู้
กรณีพระสงฆ์จากทั่วประเทศรวม 344 รูป อาสาเดินทางไปอยู่ประจำวัดในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ตามโครงการ “พระสงฆ์นำชัย คุ้มภัยใต้” ตลอดช่วงเทศกาลเข้าพรรษา อันเนื่องมาจากสถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้น ส่งผลให้วัดหลายแห่งกลายเป็นวัดร้าง โดยโครงการดังกล่าวจัดตั้งขึ้นตามพระราชเสาวนีย์ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ที่ทรงเป็นห่วงพสกนิกรชาวไทยพุทธ ต้องมาขาดที่พึ่งยึดเหนี่ยวจิตใจในสภาวะที่สถานการณ์รุนแรงยังมีเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องนั้น ในส่วนความคืบหน้าเมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 26 ก.ค. พล.อ.ณพล บุญทับ รองสมุหราชองครักษ์ในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พร้อมพระสงฆ์รวม 123 รูป เดินทางโดยรถขนส่งของกองทัพภาคที่ 4 มาถึงวัดมุจรินทวาปีวิหาร อ.หนองจิก จ.ปัตตานี โดยมีประชาชนและพุทธศาสนิกชนกว่า 200 คน มารอต้อนรับจัดเลี้ยงอาหารเพล ก่อนจะนิมนต์ให้แยกย้ายกันไปพักผ่อน โดย พระสงฆ์ทั้ง 123 รูป จะมีการประชุมเพื่อจัดแบ่งกันไปอยู่ ประจำวัดตามที่มีการร้องขอเข้ามาในช่วงเย็นวันเดียวกัน โดย พล.อ.ณพล บุญทับ รองสมุหราชองครักษ์ฯ เผยว่า พระสงฆ์ที่เข้าร่วมโครงการทั้งหมดจะถูกส่งไปอยู่ ประจำตามวัดต่างๆ คือ จ.นราธิวาส 121 รูป จ.ยะลา 95 รูป จ.ปัตตานี 123 รูป ส่วนอีก 5 รูป จะไปอยู่ในพื้นที่ 4 อำเภอของ จ.สงขลา ตลอดระยะเวลา 3 เดือน หรือตลอดช่วงเทศกาลเข้าพรรษา โดยจะมีกำลังทหารและ ชรบ. ในพื้นที่คอยดูแลความปลอดภัยให้ ด้านพระจรินทร์ สุทธิจาโค พระลูกวัดสว่างคงคาจ.เพชรบูรณ์ หนึ่งในจำนวนพระทั้ง 123 รูป ที่สมัครใจ ลงมาอยู่ประจำวัดใน จ.ปัตตานี กล่าวว่า มีความตั้งใจที่จะจรรโลงพระพุทธศาสนาให้คงอยู่คู่กับประเทศไทยตลอดไป เรื่องความตายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่คนเราเลือกที่จะทำดีได้ การทำร้ายพระหรือเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์เป็นการทำบาป โดยส่วนตัวหากจะต้องมาเสียชีวิตเพราะการอยู่วัดภาคใต้ก็ถือเสียว่าเป็นกรรมแต่ชาติปางก่อน ช่วงที่อยู่ในภาคใต้จะตั้งใจอบรมสั่งสอนชาวบ้านอย่างเต็มที่ เวลาไล่เลี่ยกันที่วัดคูหาภิมุข หมู่ 1 ต.หน้าถ้ำ อ.เมืองยะลา ประชาชนชาวไทยพุทธจากพื้นที่ต่างๆใน 7 อำเภอของ จ.ยะลา ได้ร่วมกันจัดเลี้ยงถวายอาหารเพลแด่พระสงฆ์ ทั้ง 95 รูป ที่อาสามาอยู่ประจำวัดต่างๆ รวม 22 วัดใน 7 อำเภอของ จ.ยะลา หลังจากฉันอาหารเพลเสร็จแล้ว พระสงฆ์ ทั้ง 95 รูป ได้เดินทางไปนมัสการพระธรรมสิทธิมงคล เจ้าคณะจังหวัดยะลา ที่วัดเมืองยะลา ก่อนจะแยกย้ายกันเดินทางไปประจำตามวัดที่ได้กำหนดไว้ โดยมีทหาร ตำรวจ และชุดรักษาความปลอดภัยของแต่ละพื้นที่ติดตามคุ้มกันไปตลอดเส้นทาง พ.อ.ธีระสาสน์ แสงแก้ว หน.คณะทำงานชุดตรวจเยี่ยมโครงการฯ ชุดที่ 1 เผยว่า พระสงฆ์ทั้ง 95 รูป จะกระจายไปอยู่ตามวัดต่างๆ รวม 22 แห่ง ใน 7 อำเภอยกเว้นที่ อ.กรงปินัง เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวไม่มีวัดเพื่อ ประกอบศาสนกิจเผยแผ่พระพุทธศาสนาตลอดระยะเวลาเข้าพรรษา หากครบกำหนดแล้วพระรูปใดประสงค์จะอยู่ต่อก็สามารถดำเนินการได้ทันที โดยทางโครงการฯจะอำนวยความสะดวกและดูแลเรื่องความปลอดภัยอย่างเต็มที่ เมื่อเวลา 09.00 น. วันเดียวกัน ที่ห้องประชุมหลักเมือง ศาลากลางจังหวัดยะลา นายกฤษฎา บุญราช รอง ผวจ.ยะลา เป็นประธานประชุมคณะทำงานวิทยุชุมชน จ.ยะลา โดยมีจุดประสงค์ขอความร่วมมือใช้วิทยุชุมชนเป็นเครือข่ายเฝ้าระวังและแจ้งเหตุร้ายหรือพฤติกรรมน่าสงสัยของกลุ่มคนร้ายที่เตรียมจะก่อเหตุการณ์รุนแรงขึ้นในพื้นที่ ซึ่งได้รับความร่วมมือจากผู้จัดรายการวิทยุชุมชนเดินทางมารับฟังนโยบาย และยืนยันความพร้อมที่จะร่วมมือกับทางราชการอย่างเต็มที่ เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 26 ก.ค. ที่โรงแรมซี.เอส.ปัตตานี ศาสตราจารย์ ดร.เอ็ม ดิน ซัมซูดิน ประธานองค์กรมูฮัมมาดิยาห์ และรองประธานสภาอูลามา ประเทศอินโดนีเซีย ผู้นำทางจิตวิญญาณพร้อมคณะได้เดินทางลงพื้นที่ จ.ปัตตานี ในโอกาสเดินทางมาเยือนประเทศไทยในฐานะแขกของกระทรวงการต่างประเทศ โดยมีนายพระนาย สุวรรณรัฐ ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) พร้อมด้วยผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้นำศาสนาอิสลามใน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้การต้อนรับและร่วมหารือเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้น พร้อมได้ ทำความเข้าใจกับสถานการณ์ภาคใต้ที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ ประธานองค์กรมูฮัมมาดิยาห์ และรองประธาน สภาอูลามา ประเทศอินโดนีเซีย กล่าวว่า เป็นครั้งแรก ที่ตนได้เดินทางมาเยือนประเทศไทย จากการหารือกับผอ.ศอ.บต.เกี่ยวกับการแก้ปัญหาพื้นที่ชายแดนภาคใต้ ก็ทราบเจ้าหน้าที่ทุกคนนั้นได้ยึดแนวทางสันติวิธีซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่าสนใจเพราะสอดรับกับหลักศาสนาอิสลามที่มุ่งเน้นสันติสุขเป็นอันดับแรก และเชื่อว่าจะเป็นแนวทางสำคัญในการสร้างความสันติสุขให้กับภูมิภาคนี้ ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อเวลา 09.00 น. วันเดียวกัน พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เป็นประธานในพิธีเปิดการสัมมนาระดับชาติ เรื่องการแก้ วิกฤติภาษาไทย และกล่าวปาฐกถานำเรื่อง “ภาษาไทยบนแผ่นดินไทย” ตอนหนึ่งว่า มีคนบางกลุ่มพูดว่าปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ สาเหตุหนึ่งมาจากคนไทยมุสลิมพูดภาษาไทยไม่ได้ หรือพูดได้ เล็กน้อย ทำให้สื่อสารกันไม่เข้าใจ ตนไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับความคิดนี้ หากนับอายุเป็นเกณฑ์ตนถือว่าติด 1 ใน 10 ของผู้สูงอายุ ในสมัยที่ตนเป็นเด็กมีเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันหลายคนที่เป็นชาวไทยมุสลิม หลายคนพูดภาษาไทยได้ และบางครั้งด่าเป็นภาษาไทยก็ได้ เพราะฉะนั้นชาวไทยมุสลิมที่เกิดในเมืองไทยและอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับตนต้องพูดเข้าใจได้ เว้นเสียแต่ไม่ประสงค์จะพูด หรือเป็นคนที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานในบ้านเมืองของเราเมื่อโตแล้ว พล.อ.เปรมกล่าวว่า ปัญหาใหญ่พื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มีสองปัญหาคือ ความเป็นไทยและความเป็นธรรม คนไทยที่นับถือศาสนาพุทธและศาสนาอื่นจะต้องทำให้ชาวไทยมุสลิมสำนึกมั่นว่าเป็นคนไทยคนหนึ่ง มีความเป็นไทย และหยิ่งในความเป็นไทย มีสิทธิและหน้าที่ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญเช่นเดียวกับคนไทยที่นับถือศาสนาอื่น รวมทั้งจะต้องได้รับความเป็นธรรมจากเจ้าหน้าที่ของรัฐเท่าเทียมกับคนไทยที่นับถือศาสนาอื่นโดยไม่มีข้อยกเว้น ด้าน พล.อ.บุญรอด สมทัศน์ รมว.กลาโหม ให้ สัมภาษณ์กรณีที่นักธุรกิจมุสลิมภาคใต้ไปกว้านซื้อที่ดินในแถบภาคเหนือกับชาวบ้าน โดยมีการแลกเปลี่ยนให้ เยาวชนในพื้นที่ไปเรียนศาสนาที่โรงเรียนปอเนาะในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้นยังไม่ปักใจว่ามีส่วนเกี่ยวข้องอย่างแท้จริง แต่เท่าที่ทราบทางภาคเหนือเป็นภาคที่ทางรัฐบาลได้สนับสนุนให้มีการปลูกยางพาราทั้งภาคเหนือ และภาคอีสาน ฉะนั้นผู้ค้ายางพาราในพื้นที่ภาคใต้กำลังประสบอยู่กับเรื่องการก่อความไม่สงบ เขาก็จะย้ายทั้งฐานการผลิต และฐานการจัดซื้อยางพาราเพื่อการส่งออก และพื้นที่ที่ไปเคลื่อนไหวก็เป็นพื้นที่ของชาวเขา ไม่ว่าจะเป็นจังหวัดพิษณุโลก น่านพะเยา ลำพูน หรือลำปาง ส่วนใหญ่จะเป็นพื้นที่ สปก. 4-01 พื้นที่พวกนี้ซื้อขายไม่ได้อยู่แล้ว มีสิทธิที่จะโอนให้กับทายาทเท่านั้น เมื่อถามว่า ยืนยันได้หรือไม่ว่าการกว้านซื้อที่ไม่เกี่ยวข้องกับการขยายฐานก่อความไม่สงบจากภาคใต้ไปสู่พื้นที่ภาคเหนือ พล.อ.บุญรอดยืนยันว่า ข้อมูลที่ได้รับในขณะนี้เป็นอย่างนั้น แต่ทางกองทัพก็จะดำเนินการติดตามเรื่องนี้ต่อไปจนกว่าจะแน่ใจ เมื่อเวลา 13.00 น. ที่กระทรวงกลาโหม พล.ท. พิชษณุ ปุจฉาการ โฆษกกระทรวงกลาโหม แถลงข่าวภาย หลังการประชุมสภากลาโหมว่า ที่ประชุมได้มีการหารือถึงการปฏิบัติงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งจากการปฏิบัติงานเชิงรุกและการขยายผลทางยุทธวิธีของ กอ.รมน.ภาค 4 ด้วยการลาดตระเวนพิสูจน์ทราบ ตรวจค้น ปิดล้อมและจับกุม ควบคู่ไปกับการปฏิบัติงานด้านการข่าวและงานมวลชนในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ทำให้ฝ่ายทาง การสามารถจับกุมผู้ก่อความไม่สงบและอาวุธได้เป็นจำนวนมาก โฆษกกระทรวงกลาโหมเผยต่อไปว่า ที่ประชุมยังพิจารณาจะใช้หุ่นยนต์กู้ภัยจากผลงานการวิจัยของสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ซึ่งเป็นสถาบันที่มีความพร้อมทั้งทางด้านบุคลากรและขีดความสามารถในเชิงเทคโนโลยีที่ไปสร้างชื่อเสียงในต่างประเทศ จนได้รับรางวัลชนะเลิศอันดับ 1 ประเภทเป็นตัวอย่างที่ดี ในเรื่องการวิจัยและการพัฒนา โดยมอบหมายให้สำนักงานวิจัยและพัฒนาการทหาร กระทรวงกลาโหม เป็นหน่วยหลักประสานงานกับสถาบันการศึกษาดำเนินการวิจัยและพัฒนา เพื่อใช้ประโยชน์ในทางการทหาร โดย เฉพาะการเก็บกู้วัตถุระเบิดพัฒนานำไปสู่การผลิตใช้งานและนำไปใช้ปฏิบัติงานในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างมีประสิทธิภาพ และขอให้วิจัยเพื่อนำไปใช้ในงานบรรเทาสาธารณภัยด้วย ส่วนเหตุรุนแรงยังมีเกิดขึ้นเป็นรายวัน โดยเมื่อเวลา 07.30 น. วันที่ 26 ก.ค. พ.ต.ท.นฤชา สุวรรณลาภา รอง ผกก.ป.สภ.อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี รับแจ้งมีเหตุระเบิดบนถนนสายบ้านสวนนอก-บ้านช้างไห้ตก ม.1 ต.ช้างไห้ตก จึงพร้อมด้วย พล.ต.ต.ก่อเกียรติ วงศ์วรชาติ ผบก. พ.ต.อ.กรีรินทร์ อินทร์แก้ว รอง ผบก. นำกำลังพร้อมชุดเก็บกู้วัตถุระเบิดรุดไปที่เกิดเหตุ โดยเจ้าหน้าที่ต้องใช้อุปกรณ์ตัดสัญญาณโทรศัพท์มือถือและรีโมตคอนโทรลเพื่อป้องกันการวางระเบิดถล่มกำลังที่เข้าไปตรวจสอบ พบหลุมระเบิดอยู่ริมถนนกว้าง 40 ซม. ลึกประมาณ 1 ฟุต มีชิ้นส่วนระเบิดและสะเก็ดระเบิดปลิวกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณ มีทหารได้รับบาดเจ็บ 2 นาย ถูกนำส่งรพ.ศูนย์ยะลา ทราบชื่อ จ.ส.อ.ชนัด รุ่งทองทิพย์ อายุ 45 ปี ถูกสะเก็ดระเบิดที่ใบหน้าและลำตัวอาการสาหัส และ พลฯกิตติคุณ ใจยะเส็ด อายุ 21 ปี ถูกสะเก็ดระเบิดที่ขาซ้าย สอบสวนทราบว่าทหารที่บาดเจ็บทั้ง 2 นาย สังกัดหมวดปืนเล็ก ร้อย ร.423 ก่อนเกิดเหตุ ได้นำกำลังรวม 4 นาย ขี่รถ จยย. 2 คัน ออกตรวจเส้นทางตามแผนคุ้มกันครู มาถึงจุดเกิดเหตุคนร้ายที่ดักซุ่มอยู่ ข้างทางได้ลอบกดรีโมตจุดชนวนระเบิด ทำให้ทหารบาดเจ็บไป 2 นายดังกล่าว ส่วนที่ จ.นราธิวาส เมื่อเวลา 10.40 น. วันเดียวกัน พ.ต.ท.สุกิจ ขำมาก สว.นปพ.ภ.จ.นราธิวาส พร้อมชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด “เหยี่ยวดง” รุดไปตรวจสอบรถกระบะมิตซูบิซิ สีเขียว ทะเบียน บง 5336 นราธิวาส ของเจ้าหน้าที่สรรพากร จ.นราธิวาส หลังเจ้าหน้าที่อาสาสมัครรักษาดินแดน (อส.) จ.นราธิวาส ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ประจำป้อมยามจุดตรวจประตูเข้า-ออก ศาลากลาง จ.นราธิวาส ตรวจสอบพบวัตถุต้องสงสัยคล้ายวัตถุระเบิดบริเวณใต้ท้องรถช่วงที่เก็บล้อยางอะไหล่ โดยใช้เวลากว่า 20 นาที จึงเก็บกู้เอาไว้ได้ ปรากฏว่าเป็นเพียงถุงพลาสติกสีขาวเกี่ยวติดอยู่กับขาเหล็กยึดยางอะไหล่ ไม่มีวัตถุระเบิดแต่อย่างใด ขณะเดียวกัน เมื่อเวลา 07.00 น. นางบัวเหรียญ ภาดี อายุ 38 ปี 1 ในจำนวน 6 ผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์ รถ จยย.บอมบ์ระเบิดที่หน้าร้านขายข้าวสาร ถนนเจริญเขต ซอย 1/1 ในเขตเทศบาลเมืองสุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 21 ก.ค.ที่ผ่านมา ทนพิษบาดแผลไม่ไหว เสียชีวิตแล้วที่ รพ.สุไหงโก-ลก ญาติได้มาติดต่อขอรับศพกลับไปประกอบพิธีฝังที่กูโบร์กลาง ถนนเจริญเขตซอย 6 เมื่อเวลา 17.20 น. วันเดียวกัน โดยสามีและลูกทั้ง 3 คน ได้เขียนป้ายผ้าประณามกลุ่มคนร้ายที่ก่อเหตุเป็นภาษาไทย ภาษารูมี และภาษายาวี มีข้อความว่า “หนูขาดแม่เพราะคนใจร้ายวางระเบิดแม่หนู” “ถ้าแม่ ของคุณถูกวางระเบิดบ้างจะรู้สึกอย่างไร” และ “คนใจบาปฆ่าผู้บริสุทธิ์” บรรยากาศภายในพิธีฝังศพเต็มไปด้วยความเศร้าสลด มีผู้มาร่วมไว้อาลัยเป็นครั้งสุดท้ายกว่า 100 คน วันเดียวกัน เมื่อเวลา 08.30 น. พ.ต.ต.ทนง วิมลพินิจ สว.ด่านตรวจคนเข้าเมืองอำเภอเบตง จ.ยะลา เผยถึงกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจประเทศมาเลเซียจับกุมนายซันนามัต สมปอง อายุ 23 ปี นายอชัย สมปอง อายุ 27 ปี นายลิมสิต ดังดี อายุ 30 ปี และนายสุทิต วัน-ใจดี อายุ 37 ปี พร้อมของกลางหนังสือเดินทางปลอม 18 ฉบับ และยาบ้าอีก 70 เม็ด เมื่อวันที่ 12 ก.ค.ที่ผ่านมา ภายในบ้านเลขที่ 50 ซอยบินใจ 13 ศรีรัมบัย อ.บูกิต เมอร์ตายัม รัฐปีนัง ประเทศมาเลเซีย ซึ่งผู้ต้องหาทั้ง 4 คน ถูกตั้งข้อหามีหนังสือเดินทางปลอมและมียา เสพติดไว้ในครอบครอง ว่าอยู่ระหว่างประสานกับทางตำรวจมาเลเซีย เพื่อขอรายละเอียดของรูปคดี ซึ่งจะมีการตัดสินในวันที่ 21 ส.ค.นี้ โดยเน้นว่าทั้ง 4 คน มีส่วนเชื่อมโยงกับขบวนการป่วนใต้หรือไม่ ถัดมาเวลา 19.15 น. ร.ต.อ.ดุนยนิตย์ ชูเชื้อ ร้อยเวร สภ.อ.ยะหา จ.ยะลา รับแจ้งมีคนถูกยิงเสียชีวิตบนถนนในหมู่บ้านอาเส็น หมู่ 6 ต.ยะหา รุดไปตรวจสอบ พบศพนายสะอาลี สะนิ อายุ 40 ปี อยู่บ้านเลขที่ 72/1 หมู่ 6 ต.ยะหา ถูกยิงด้วยอาวุธปืนไม่ทราบขนาดที่ศีรษะและแผ่นหลังรวม 3 นัด นอนตายจมกองเลือดคร่อมทับอยู่บนรถ จยย.ฮอนด้า ไม่ติดป้ายทะเบียน สอบสวนทราบว่าผู้ตายขี่ จยย.ออกจากบ้านจะไปหาเพื่อน ถึงที่เกิดเหตุมีคนร้าย 2 คนขี่รถ จยย.ไม่ทราบทะเบียน ตามประกบยิงจนเสียชีวิตดังกล่าว ส่วนสาเหตุคาดว่าเป็นการสร้างสถานการณ์รายวัน เวลาไล่เลี่ยกัน พ.ต.อ.ภูมิเพ็ชร พิพัฒน์เพ็ชรภูมิ ผกก.สภ.อ.เมืองยะลา รับแจ้งพบวัตถุต้องสงสัยถูกวางไว้ในโรงแรมยะลารามา ถนนศรีบำรุง 1 ในเขตเทศบาลนครยะลา จึงพร้อมด้วย ร.ต.ท.ไพโรจน์ เมืองสุวรรณ หน.ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด “ศรชัย” รุดไปตรวจสอบ บริเวณมอเตอร์ลิฟต์โดยสารชั้น 10 พบกล่องเหล็กต้องสงสัยวางอยู่ข้างมอเตอร์ดึงสายสลิงลิฟต์ ตรวจสอบพบว่าภายในบรรจุระเบิดพาวเวอร์เจล หนักประมาณ 3 กก. ตั้งเวลาจุดระเบิดด้วยนาฬิกาปลุก ตั้งเวลาทำงานไว้ที่ 19.50 น. จึงเก็บกู้เอาไว้อย่างปลอดภัย สอบสวนทราบว่าก่อนเกิดเหตุ มีเจ้าหน้าที่ขึ้นไปตรวจสอบลิฟต์ตามปกติ แต่พบกล่องต้องสงสัยวางอยู่จึงแจ้งตำรวจมาตรวจสอบ คาดว่าน่าจะเป็นฝีมือแนวร่วมแฝงตัวเข้าในโรงแรมแอบนำกล่องระเบิดไปวางไว้หมายจะสร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของโรงแรม อยู่ระหว่างตรวจสอบกล้องโทรทัศน์ วงจรปิดเพื่อหาตัวมือระเบิดรายนี้ต่อไป ข่าวจาก ไททยรัฐ
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
|
|
|
แจ้งลบกระทู้นี้
อ่าน 2122 |
|
แสดงความคิดเห็น |
โดย กรรมกรข่าว
IP: Hide ip
, วันที่ 27 ก.ค. 50
เวลา 10:23:39
|