• "สาวพิการ-สามี" ต่างโต้ทางทีวี รินน้ำตาโทษอีกฝ่ายไม่พูดจริง |
โพสต์โดย ตนข่าว เชียงใหม่ , วันที่ 02 พ.ย. 50 เวลา 11:47:14 IP: Hide ip |
กด like เพื่อติดตามข่าวสารดีๆ จาก cmprice.com VVVVVV
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
© เนื้อหาข่าว/กระทู้
สาวพิการกับอดีตสามี รินน้ำตาโต้กันทางทีวี โทษอีกฝ่าย-พูดไม่จริง
หลังจาก น.ส.สุชิน พันธุ์แตง สาวสู้ชีวิตที่ต้องใช้ แขนแทนขา เนื่องจากพิการขาลีบทั้งสองข้าง ได้คลานขึ้น สภ.เมืองสุพรรณบุรี แจ้งความว่าถูกหลอกเอาเงินไปโดยเมื่อปี 2548 รายการโทรทัศน์ชื่อ “คนค้นฅน” มาถ่ายทำการต่อสู้ชีวิตที่ยากจนต้องหาเงินเลี้ยงหลานกับพ่อ
เมื่อเรื่องราวเผยแพร่ออกไป มีคนสงสารบริจาคเงินช่วยเหลือกว่า 6 ล้านบาท ต่อมามีนายอารีย์ ศรฟ้า เข้ามาตีสนิทจนชอบพออยู่กินกันนาน 1 ปี ขณะอยู่ด้วยกันได้หลอกเอาเงินที่ได้ไปใช้จ่ายจนหมดก่อนแยกทางกัน ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจและสภาทนายความ รวมทั้งนางระเบียบรัตน์ พงษ์พานิชย์ เร่งให้ความช่วยเหลือ
ขณะที่นายอารีย์ออกมาโต้ว่า ไม่ได้หลอกลวง เนื่องจากเพิ่งรู้ว่า น.ส.สุชินมีเงินหลังจากอยู่ด้วยกันแล้ว 2 เดือน แต่ยอมรับว่าเอาเงินไป 1.7 ล้านบาท ซื้อที่ดิน 4 ไร่ ที่ ต.หนองโอ่ง อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี รถยนต์ และอะไหล่จักรยานยนต์มาขาย หลังจากเลิกกันได้คืนรถและที่ดินให้ เหลือเพียงเงินที่ซื้อสินค้าอีก 4 แสนบาท ที่ยังไม่ได้คืนให้ เผยระหว่างอยู่ด้วยกัน มีผู้ชายมารับ น.ส.สุชิน ออกจากบ้าน เตือนให้เลิกคบหาก็ไม่เชื่อ ยืนยันยังรักอดีตภรรยา
ความคืบหน้าเมื่อวันที่ 31 ต.ค. ผู้สื่อข่าวจำนวนมากต่างแห่กันไปที่บ้านของ น.ส.สุชิน และที่ร้านนายอารีย์ นอกจากนี้ มีรายการโทรทัศน์หลายรายการจากทุกสถานีเอารถไปรอรับไปออกรายการสดจนต้องจัดคิวกัน โดย น.ส. สุชินให้สัมภาษณ์ว่า ช่วงที่เริ่มคบกัน นายอารีย์เคยรับออกจากบ้านบอกว่า จะพาไปทำบุญที่วัดและไปดูร้านอะไหล่ที่ทำอยู่ แต่ไม่ได้ไปวัด
แถมยังผ่านร้านแค่แวบเดียวก่อนจะพาเข้าโรงแรม บอกว่าสงสารไม่รังเกียจ พร้อมจะรับผิดชอบ พอฟังแล้วมีความรู้สึกว่าเป็นลูกผู้ชายดี ที่ผ่านมาเคยเจอผู้ชายมาเยอะ ทุกคนรังเกียจ ล้อเลียนด่าว่า บางคนแกล้งคลานตาม เป็นการดูถูกรู้สึกมีปมด้อย
ส่วนเรื่องที่บอกว่าไม่รู้ที่มีเงินมากนั้น ไม่เป็นความจริง ทั้งนี้ เนื่องจากออกรายการไปไม่นาน นายอารีย์ ก็มาหาบอกว่าดูรายการแล้วสงสาร อยากช่วยดูแล เค้ารู้ ว่ามีเงินเลยมาตีสนิททำตัวดีแบบไม่เคยเจอในผู้ชายคนอื่นมาก่อน เวลาอยู่ด้วยกันก็ขอดูสมุดบัญชีและให้ไปเบิกเงิน ตอนซื้อที่ดินก็บอกว่าแม่ไม่มีที่อยู่และจะให้ตนไปอยู่ด้วยเพื่อค้าขาย ตอนที่ตนป่วยก็ให้ไปเบิกเงิน 5 แสนบาท ใส่บัญชีชื่อนายอารีย์ เพราะกลัวว่าหากตนเป็นอะไรไปจะเบิกไม่ได้ และจะเอาเงินก้อนนี้ไว้ดูแลตนและพ่อของนายอารีย์ที่ป่วย
นอกจากนี้ ยังบอกว่าเคยมีแฟนตอนอายุ 15-16 ปี และถูกพ่อแม่ฝ่ายหญิงขอเงิน 1 แสนบาท มิฉะนั้นต้องแต่งงาน จึงขอเงินตนไปเคลียร์ก็เลยให้ไป ยิ่งพอรู้ว่ามีภรรยาแล้วก็หาเรื่องตบตีและกล่าวหาว่าตนมีชู้ มีผู้ชายมารับ ซึ่งไม่จริง เพราะเวลาทะเลาะกันทุกครั้งตนจะโทรศัพท์ให้เพื่อนจ้างรถมารับกลับบ้านที่ จ.สุพรรณบุรี ขณะเดียวกันนายอารีย์ไปพูดกับคนอื่นว่า ขยะแขยงไม่อยากโดนตัว นอนกันคนละมุมห้อง บางครั้งนายอารีย์ไปนอนในรถ สำหรับรถปิกอัพที่คืนมาให้ก็ถอดเครื่องเสียงราคาเป็นแสนออกไปหมด ส่วนที่ดินยังไม่ได้คืน เพราะติดธนาคาร
“ขอท้าไปตายที่ไหนก็ได้ ที่เค้าให้สัมภาษณ์ไม่ใช่ เรื่องจริง ขอปฏิญาณว่าจะไม่พูดกับผู้ชายคนนี้อีก เมื่อก่อนยอมรับว่ารัก เพราะไม่เคยเจอผู้ชายที่มารักทุ่มเทให้ความหวังดีดูแล เพราะเรามีปมด้อยเลยฝากชีวิตไว้ แต่ตอนนี้ไม่เหลือแล้ว เค้าเคยซ้อมและตบตี บางครั้งเตะและเอาปืนตี ต้องโทรศัพท์ให้หลานไปรับกลับบ้านได้ ไม่กี่วันปวดหัวต้องเข้าโรงพยาบาล เจ็บขนาดไหนไม่เคยเล่าให้พ่อฟัง และได้ขอโทษพ่อ เสียใจให้กับพ่อมากกว่า” น.ส.สุชินกล่าวพร้อมกับร่ำไห้ออกมาอย่างน่าสงสาร
น.ส.สุชินเปิดเผยต่อไปว่า หลังเลิกกันได้เปิดร้านขายอะไหล่และซ่อมจักรยานยนต์ตรงข้ามกับร้านของนายอารีย์ แต่แค่ 3 เดือนต้องเซ้งแบบขาดทุนให้ลูกน้องในร้านไปในราคา 8 หมื่นบาท และกลับไปอยู่บ้านที่ จ.สุพรรณบุรีและนำเงินที่เหลือก้อนสุดท้ายไปเล่นแชร์และซื้อของไปขายตามตลาดนัด แต่รายได้ไม่ดี จึงพยายามโทรศัพท์หาคนรู้จักหลายคนเพื่อขอคำปรึกษา
ช่วงเดือน ส.ค. โทรศัพท์ผิดไปติดเบอร์ของชายคนหนึ่งที่ อ.มหาชัย จ.สมุทรสาคร ชายดังกล่าวให้คุยกับหลานชาย ทราบชื่อว่านายนพมาศ ตารอด อายุ 22 ปี ชื่อเล่นว่าเสือ เป็นคนงานก่อสร้างอยู่บริษัทอิตาเลียน-ไทย คุยกันถูกคอเลยติดต่อกันเรื่อยมา และเล่าปัญหาให้ฟัง พร้อมกับขอไปพักอยู่ด้วยชั่วคราว โดยให้ญาติขับรถไปส่งที่บ้านพักคนงานของนายนพมาศ และพาหลานสาวชื่อ น.ส.สสิทร พันธุ์แตง อายุ 25 ปี ไปอยู่เป็นเพื่อน ผ่านไปเดือนเศษ จึงโทรศัพท์ไปหาทีมงานรายการ “คนค้นฅน” เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังและมาแจ้งความ
ต่อมาผู้สื่อข่าวไปที่ร้านขายอะไหล่และซ่อมจักรยานยนต์ของนายอารีย์ พบว่ามีผู้สื่อข่าวมาหาเป็น จำนวนมากตั้งแต่เช้า โดยเฉพาะรายการโทรทัศน์หลายรายการจากทุกสถานีรุมแย่งตัวเอารถมารับถึงร้านเพื่อนำไปออกรายการ จนนายอารีย์ตัดสินใจว่าไปกับคนที่มาหาเป็นคนแรก นายอารีย์กล่าวก่อนไปออกรายการโทรทัศน์ว่า หลังจากตกเป็นข่าวฉาวโฉ่ถูกกล่าวหาปอกลอกเงินอดีตภรรยาจนหมดตัว ทำให้เพื่อนบ้านมองดูว่าตนเป็นคนไม่ดี ทั้งๆที่ไม่เป็นความจริง มีรายการโทรทัศน์เชิญไปสัมภาษณ์ ตนยินดีไปทุกรายการ ดีใจที่ได้ชี้แจงความเป็นจริงให้สังคมรู้และไม่หลบหนี
สำหรับเหตุผลที่อยู่กินกับ น.ส.สุชินเพราะรักและสงสาร ไม่เคยรังเกียจว่าร่างกายพิการ เคยพาไปเที่ยวบาง-แสน งานวัดดอนเจดีย์ สาเหตุที่ต้องเลิกกันเพราะเวลามีปากเสียงกัน น.ส.สุชินมักโทรศัพท์ให้ผู้ชายที่รู้จักกันมารับมาส่ง ชื่อนายสมเกียรติ ไม่ทราบนามสกุล จึงต้องแยกทาง และญาติฝ่ายหญิงมาขนเสื้อผ้ากลับไปอยู่ จ.สุพรรณบุรี ส่วนเรื่องที่ว่ามีการทำร้ายร่างกายหรือกักขัง หากเกิดขึ้นจริงคงถูกดำเนินคดีไปแล้ว ทำไมเพิ่งมาแจ้งความ จึงอยากขอความเป็นธรรมจากสังคมด้วย
ผู้สื่อข่าวถามว่า เอาเงิน 6 ล้านบาทจาก น.ส.สุชินไป ไม่สงสารผู้หญิงหรือ เมื่อได้ยินคำถามนายอารีย์ถึงกับร่ำไห้ปล่อยโฮออกมา และกล่าวด้วยน้ำตานองหน้าว่า อยากให้ทุกคนดูสภาพความเป็นจริงที่ตนอยู่ปัจจุบัน รถปิกอัพยี่ห้อโตโยต้า รุ่นวีโก้ สีดำ ทะเบียน ชธ 347 กรุงเทพมหานคร ได้เปียแชร์เอาเงินวางดาวน์ ตอนนี้ไม่ได้ ผ่อนมา 2 งวด บริษัทตามทวงและจะยึด โทรศัพท์มือถือก็ใช้ของเก่า อะไหล่จักรยานยนต์ก็ซื้อแบบเครดิตมาขายก่อน เพราะไม่มีเงินสด ทุกอย่างสามารถตรวจสอบได้
นายอารีย์ยังพาเดินดูในร้าน ชี้ให้ดูที่พักว่ามี เพียงเสื่อผืนหมอนใบ พร้อมกับพูดไปร้องไห้ไปถามว่า ถ้าตนได้เงินมา 6 ล้านบาทจริง จะมีสภาพความเป็นอยู่แบบนี้หรือ ขณะที่ให้สัมภาษณ์อยู่นั้นมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองสุพรรณบุรี โทรศัพท์มาหานายอารีย์บอกว่าอย่าไปไหน จะขอสอบถามข้อเท็จจริง นายอารีย์ตอบว่าจะไม่หนีไปไหน ยินดีให้ความร่วมมือ จากนั้นได้ขึ้นรถไปออกรายการโทรทัศน์
จากนั้นผู้สื่อข่าวไปที่ร้านสุชินมอเตอร์ ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับร้านของนายอารีย์ สอบถามเจ้าของร้าน เนื่องจากเดิมเคยเป็นร้านของ น.ส.สุชิน โดยเจ้าของร้านคนใหม่ ไม่ยอมเปิดเผยชื่อ ยอมรับว่าเป็นความจริง หลังจาก น.ส.สุชินเลิกกับนายอารีย์ ได้เปิดร้านขายอะไหล่และซ่อมจักรยานยนต์แห่งนี้ มีลูกจ้างเป็นญาติห่างๆ แต่เปิดร้านได้ 3-4 เดือน ก็เซ้งต่อให้กับลูกจ้างแบบขาดทุน ราคา 8 หมื่นบาท และขนของไปอยู่กับเพื่อนชาย อายุประมาณ 22 ปี ที่คอยช่วยเหลือ ไม่กลับมาที่ร้านอีกเลย
ที่มาจาก
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
|
|
|
แจ้งลบกระทู้นี้
อ่าน 2946 |
|
แสดงความคิดเห็น |
โดย ตนข่าว เชียงใหม่
IP: Hide ip
, วันที่ 02 พ.ย. 50
เวลา 11:47:14
|