• อภิสิทธิ์ ลั่นไม่จับมือพปช.ตั้งรัฐบาล แม้จะแพ้แค่10ที่นั่ง |
โพสต์โดย ตนข่าว เชียงใหม่ , วันที่ 13 พ.ย. 50 เวลา 11:23:41 IP: Hide ip |
กด like เพื่อติดตามข่าวสารดีๆ จาก cmprice.com VVVVVV
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
© เนื้อหาข่าว/กระทู้
ปชป.ยึดวงเวียนใหญ่ เปิดเวทีปราศรัยใหญ่ "อภิสิทธิ์"ประกาศไม่จับมือ พปช.จัดตั้งรัฐบาลแน่ เชื่อเลือกตั้งแพ้ชนะสูสีกันไม่เกิน 10 ที่นั่ง มั่นใจภาคใต้ ปชป.ชนะขาด อีสานล่วง แต่ภาคเหนือสู้สูสี ระบุกทม.พื้นที่ตัดสินประกาศวาระประชาชน ลั่นถ้าปชป.เป็นรัฐบาลจะทำประเทศไทยให้มีสีเหลือง สีชมพู ถวายพ่อของแผ่นดิน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พรรคประชาธิปัตย์ได้จัดปราศรัยที่วงเวียนใหญ่ นำทีมโดยนายอภิสิทธิ์ เวชาชีวะ หัวหน้าพรรค นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองหัวหน้าพรรค ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้อำนวยการศูนย์เลือกตั้งกรุงเทพฯ ของพรรค และนายพนิช วิจิตรเศรษฐ รองผู้ว่าฯกทม. โดยมีประชาชนมาร่วมรับฟังการปราศรัยประมาณ 700 คน
ทั้งนี้ นายจุรินทร์ กล่าวปราศรัยตอนหนึ่งว่า การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการแข่งขันกันสุดฤทธิ์สุดเดชจริงๆ ไม่เกิน 2 พรรค คือ พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคพลังนอมินี และการเลือกตั้งวันที่ 23 ธ.ค.นี้ ไม่ใช่การเลือกตั้งปกติธรรมดา แต่ยังกินความหมายกว้างไกลคือเป็นการเลือกตั้งพรรครัฐบาล ซึ่งชาวกทม.บอกว่าจะเลือกพรรคการเมืองไหนมาเป็นรัฐบาล
ถ้าพรรคไหนได้เกิน 240 เสียง พรรคนั้นเป็นรัฐบาลแน่นอน แต่ถ้าไม่มีพรรคไหนได้ถึง 240 เสียง ก็แสดงว่าต้องมีพรรคการเมืองที่สามารถรวบรวมเสียงข้างมากในสภาได้เกิน 240 พรรคนั้นก็จะเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล นี่คือความหมายของการเลือกตั้งในครั้งนี้ มีคนบอกว่าถึงประชาธิปัตย์ตั้งรัฐบาลได้ก็อยู่ไม่นาน เพราะเป็นรัฐบาลผสม
แต่ขอบอกว่าไม่จริง เห็นได้จากที่เขาบอกว่ารัฐบาลพรรคเดียวมีเสถียรภาพเช่นการเลือกตั้งครั้งที่แล้วมีพรรคหนึ่งได้ 377 เสียง ขณะที่ฝ่ายค้าน 133 เสียง ไม่สามารถเปิดอภิปรายไว้วางใจได้ แต่ในที่สุดรัฐบาลนั้นก็อยู่ไม่ได้ เพียงปีเดียวก็เรียบร้อยโรงเรียนคมช.
นายจุรินทร์ กล่าวอีกว่า ดังนั้นการที่รัฐบาลจะอยู่ได้หรือไม่ ไม่ได้อยู่ที่พรรคเดียว หรือรัฐบาลผสม ทั้งนี้การที่รัฐบาลชุดที่แล้วอยู่ไม่ได้ก็เพราะว่าเขาแทรกแซงองค์กรอิสระ สร้างความแตกแยกให้บ้านเมือง ทุจริตคอร์รัปชั่น จนได้ฉายาว่าโคตรโกงหรือโกงทั้งโคตรในที่สุดก็อยู่ไม่ได้ จนมีรัฐประหารเกิดขึ้น
อย่างไรก็ตามการเลือกตั้งปี 50 ต่างจากปี 44 และปี 48 เพราะปี 44 และปี 48 เป็นการเลือกตั้งที่ต่อเนื่องกันมาแต่ครั้งนี้ไม่ใช่ เพราะเป็นการเลือกตั้งหลังจากประเทศเกิดการแตกแยกครั้งใหญ่ ดังนั้นพี่น้องชาวกทม.ในวันนี้ต้องตัดสินใจอนาคตประเทศว่าจะเลือกอนาคตให้ประเทศไปสู่ความแตกแยกหรือสงบสุข จะเลือกประชาชนมาก่อน หรือผลประโยชน์ของพรรคการเมืองมาก่อน
ถ้าต้องการเห็นประเทศเดินไปสู่ความแตกแยกครั้งใหญ่ต้องไม่เลือกประชาธิปัตย์ ตอนนี้มีพรรคการเมืองหนึ่งประกาศแล้วว่าถ้าเลือกเขาเป็นรัฐบาลก็จะกลับมาล้างแค้น ตนคิดว่าถ้าเป็นอย่างนี้บ้านเมืองก็จะลุกเป็นไฟ วิกฤติครั้งใหญ่จะกลับมาแน่นอน แต่ถ้าเลือกประชาธิปัตย์จะไม่มีการล้างแค้นใคร แต่จะเดินหน้าไปสู่ความสงบสุข
นอกจากนี้บางพรรคก็ประกาศเลยว่าสิ่งแรกที่จะทำก่อนถ้าได้เป็นรัฐบาลคือ จะแก้ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม 111 คน อยากบอกว่านั่นเป็นการทำเพื่อตัวเองหรือประชาชน นอกจากนี้เขาจะรื้อ คตส.ที่กำลังตรวจสอบทุจริตคอร์รัปชั่น คือจะรื้อองค์กรที่ตรวจสอบรัฐบาลที่แล้วเพื่อเรียกผลประโยชน์ที่ถูกยึดคืนมาให้นักการเมืองเพียงคนเดียว นี่คือคำตอบที่ประชาชนจะต้องกลับไปคิดพิจารณา
ผู้สื่อข่าวรายงาน นายจุรินทร์ยังได้ชี้แจงวาระประชาชนที่เป็นนโยบายประชาธิปัตย์ ถ้าหากประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาลพรรคก็มีนโยบายยึดผลประโยชน์ประชาชนมาก่อนนักการเมือง ทั้งเรื่องการปฏิรูปการเมือง ประชาชนต้องมีส่วนร่วมมากขึ้น สามารถเข้าชื่อถอดถอนนักการเมืองได้ง่ายขึ้น
โดยจัดตั้งสภาพัฒนาการเมืองภาคประชาชน และกองทุนพัฒนาการเมือง เพื่อตรวจสอบนักการเมืองที่คดโกง ขณะเดียวกันเราก็จะแปลงสภาผู้แทนราษฎรไปเป็นกฤษฎีกาภาคประชาชน นอกจากนี้ประชาธิปัตย์ยังมีนโยบายเรียนฟรี 15 ปี และรักษาพยาบาลฟรี
นายจุรินทร์ กล่าวยืนยันว่า ถ้าพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล ตนมั่นใจว่าภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สถานการณ์ภาคใต้จะต้องดีขึ้นภายใน 1 ปีอย่างแน่นอน
ด้านนายอภิสิทธิ์ ได้กล่าวปราศรัยตอนหนึ่งว่า ที่ตนประกาศเรื่องการแบ่งขั้วไม่ใช่ต้องการให้เกิดความแบ่งแยก แต่ถือว่าคนที่อยู่พรรคพลังประชาชนก็คือคนที่เคยดูแลบ้านเมืองนี้มาเป็นเวลา 6 ปีที่มีการทุจริตคอร์รัปชั่น มโหฬาร มหาศาลที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย เป็น 6 ปีที่เอาอำนาจของประชาชนไปข่มขู่ คุกคาม ข่มเหง คู่แข่งขันทางการเมือง คนที่คิดไม่เหมือนกับตัวเอง
“ผมบอกว่าวันนี้ถ้าคิดจะเป็นรัฐบาลและผมไปจับมือกับพลังประชาชน คิดว่าสองพรรคเกินครึ่ง แต่ผมไม่ต้องการเป็นรัฐบาลแล้วทรยศประชาชน จะเป็นไปได้อย่างไรที่จะบอกว่าคนที่เคยต่อสู้คัดค้าน กล่าวหากันแล้ววันหนึ่งก็บอกจับมือจะได้มีอำนาจด้วยกัน นั่นไม่ใช่การเมืองในวิถีทางที่ถูกต้อง ไม่ใช่การเมืองอุดมการณ์ ไม่ใช่การเมืองของประชาธิปัตย์แน่ ผมประกาศว่ายืนอยู่คนละขั้วเพื่อให้ประชาชนมีทางเลือกที่ชัดเจน อยากให้ทั้งสองฝั่งมาแสดงความคิดและบอกกับประชาชนพร้อมๆ กันว่าแต่ละฝ่ายคำนึงถึงบ้านเมืองว่าไปในทิศทางไหน อย่างไร ประชาชนจะได้ตัดสินใจได้ถูก แต่คงยาก”
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวอีกว่า ตนอยากบอกกับนายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชน ว่า ไม่สายเกินไปมีเวลาคิด 41 วันมานั่งพูดคุยกัน มาทำให้ประชาชนเห็นว่าความคิดต่างทางการเมืองที่แตกต่างกัน สร้างสรรค์ได้
อยากบอกอะไรพี่น้องคนไทยก็บอกและให้ตนบอกฝ่ายของตนสิ กลัวที่จะถูกวิพากษ์วิจารณ์ ถามเหตุผลหรืออย่างไร ประชาชนจะได้ดูว่า 1.ใครมีความพร้อม มีความคิดที่หลักแหลมในการแก้ไขปัญหาให้ประชาชนมากกว่ากัน 2.ประชาชนจะได้ดูว่าคนอาสาตัวเป็นนายกรัฐมนตรี มีวุฒิภาวะทางอารมณ์เพียงพอหรือไม่ เราต้องการให้การเลือกตั้งเป็นสาระของอนาคตอย่างนี้
นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ แพ้ชนะจะสูสีกันไม่เกิน 10 ที่นั่ง ภาคใต้คิดว่าชนะทั้งหมด อีสานคิดว่าไม่ชนะ แต่ภาคเหนือที่ใครบอกว่าแพ้ขาด ความจริงจะสู้กันอย่างสูสี เพราะพื้นฐานคนเหนือมีความนิยมประชาธิปัตย์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และตัวบุคลากรที่พรรคจะส่งก็มีความรู้ความสามารถจึงมั่นใจว่าจะได้รับโอกาสจากประชาชน
และในพื้นที่การเลือกตั้งครั้งนี้เชื่อว่าพื้นฐานที่จะตัดสินว่าใครจะได้จัดตั้งรัฐบาลคือ กทม. ถ้าชนะกัน 20 ต่อ 16 ก็คงต้องเก็บวาระประชาชนกลับบ้าน แต่ถ้าได้ 36 คน วาระประชาชนก็ได้นำมาใช้เพื่อบริหารประเทศ หรือถ้าหากประชาชนจะเว้นในบางพื้นที่ก็ขออย่าให้เกิน 5 ที่นั่ง
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า นโยบายวาระประชาชนของประชาธิปัตย์ปฏิบัติได้จริง ทั้งนี้อยากถามประชาชนว่าจะเลือกแบบไหน เลือกแนวทางที่บอกว่าประเทศไทยจะเดินไปข้างหน้าหรือจะอยู่กับที่ และสร้างปัญหาให้ประชาชนต่อไป มีอำนาจเก่า มีพื้นที่สีเขียว สีแดง
ถ้าอยากได้แบบนั้นก็ให้ไปเลือกพรรคโน้น แต่ถ้าเลือกประชาธิปัตย์ ไม่มีอำนาจเก่า อำนาจใหม่ มีแต่อำนาจประชาชน ไม่มีพื้นที่สีเขียว สีแดง วันนี้เราจะทำให้มีสีเหลือง สีชมพู เพื่อถวายพ่อของแผ่นดิน เพื่อให้ประชาชนมีความมั่นใจในอนาคต
นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อไปว่า ถ้าพรรคได้เป็นรัฐบาล ตนจะให้มีรายการนายกฯพบประชาชนต่อไป แต่จะให้มีรายการฝ่ายค้านพบประชาชนด้วย ไม่ต้องห่วงว่านายสมัคร จะไม่มีเวทีให้ในวันเสาร์ เพราะถือว่าถ้านายสมัครเป็นผู้นำฝ่ายค้านก็ต้องมีสิทธิพูดกับประชาชน แต่ประชาชนก็มีสิทธิปิดทีวีหนีนายสมัครได้เหมือนกัน และนายสมัครก็ต้องมีหัวใจประชาธิปไตยด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการปราศรัยนี้มี น.ส.กิตติพร อภิบาลภูวนาท หรือ ติ๋ม บินไทย ได้มาสังเกตการณ์บริเวณรอบนอกของเวทีปราศรัยด้วย ทั้งนี้การปราศรัยของพรรคประชาธิปัตย์ ยุติลงในเวลา 21.05 น.
ที่มาจากหนังสือพิมพ์
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
|
|
|
แจ้งลบกระทู้นี้
อ่าน 1303 |
|
แสดงความคิดเห็น |
โดย ตนข่าว เชียงใหม่
IP: Hide ip
, วันที่ 13 พ.ย. 50
เวลา 11:23:41
|