หน้าแรก | ลงโฆษณาฟรี l หางาน l คอมพิวเตอร์ l เว็บบอร์ด | ตลาดออนไลน์ | อัตราค่าลงโฆษณา
www.cmprice.com เว็บไซต์ของฅนเชียงใหม่ ผ้าพันคอราคาถูก ราคาส่ง เชียงใหม่ ลำพูน

หน้าแรก » เว็บบอร์ด
ข่าวการเมือง
เว็บบอร์ด » ข่าวการเมือง
รายละเอียดของห้อง : ข่าวการเมือง ประเด็นร้อนน่าจับตา ตนเหนือเราต้องมีส่วนร่วม
กระทู้ที่ตอบกลับล่าสุด | สร้างกระทู้ใหม่ | ดูกระทู้ทั้งหมด | ค้นหากระทู้ :
ปรับปั่นหุ้นทีพีไอ 6,900ล้าน 'ประชัย'โดนคุก3ปี

แชร์หน้านี้ ไปยัง facebook ตอบกลับกระทู้นี้ VV กดถูกใจกระทู้นี้ VV
ปรับปั่นหุ้นทีพีไอ 6,900ล้าน 'ประชัย'โดนคุก3ปี
โพสต์โดย กรรมกรข่าว , วันที่ 04 ธ.ค. 50 เวลา 11:26:56 IP: Hide ip    


กด like เพื่อติดตามข่าวสารดีๆ
จาก cmprice.com
VVVVVV
ลิงก์ผู้สนับสนุน

ลิงก์ผู้สนับสนุน


 

© เนื้อหาข่าว/กระทู้

 

ที่ห้องพิจารณาคดี 806 ศาลอาญา เมื่อวันที่ 3 ธ.ค. ศาลอ่านคำพิพากษา ในคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง บริษัททีพีไอโพลีน จำกัด (มหาชน) โดยนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ และนายชัยณรงค์ แต้ไพสิฐพงษ์ ในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจ (ผู้แทนนิติบุคคล) นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ อายุ 62 ปี หัวหน้าพรรค มัชฌิมาธิปไตย ในฐานะประธานผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการบริษัททีพีไอโพลีน จำกัด (มหาชน) บริษัทสเติร์น สจ๊วต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และนายเชียรช่วง กัลยาณมิตร อายุ 54 ปี กรรมการบริหาร บมจ.สเติร์นฯ เป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานเป็นบริษัทเจ้าของหลักทรัพย์ หรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในหลักทรัพย์ เผยแพร่ข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนการเสนอขายหลักทรัพย์ ก่อนวันที่หนังสือชี้ชวนจะมีผลบังคับใช้ ทำให้บุคคลอื่นเข้าใจว่าหลักทรัพย์ ใดจะมีราคาสูงขึ้นหรือลดลง (ปั่นหุ้น) และร่วมกันกระทำการใดๆ อันเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่ผู้รับผิดชอบในการดำเนินกิจการของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์ อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 ม.77 และ 239 และประกาศสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ จำเลยทั้ง 2 เดินทางไปศาล โดยนายประชัยมีสมาชิกพรรคจำนวนหนึ่งไปให้กำลังใจ

สำหรับคำพิพากษามีใจความว่า โจทก์ฟ้องและนำสืบว่า ระหว่างวันที่ 15-16 ธ.ค.46 จำเลยที่ 1 ได้ยื่นแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวนต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และ ตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ที่มีเนื้อหาสาระสำคัญในการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนจำนวน 300 ล้านหุ้น รวมทั้งแสดงฐานะการเงินและผลการดำเนินงานของบริษัท ซึ่งก่อนวันที่ 12 ม.ค.47 ที่ ก.ล.ต. จะอนุมัติให้หนังสือดังกล่าวมีผลบังคับใช้ จำเลยที่ 1 ได้เผยแพร่ข่าวข้อมูล การเสนอขายหลักทรัพย์ที่มีเนื้อหาสาระสำคัญ นอกเหนือไปจากข้อมูลที่แสดงต่อ ก.ล.ต. โดยระบุว่า มูลค่าหุ้นของ บมจ.ทีพีไอ อยู่ที่ 89 บาทต่อหุ้น และยังเสนอข้อมูลฐานะทางการเงินของบริษัท โดยเฉพาะในส่วนของผู้ถือหุ้นสูงกว่าในหนังสือชี้ชวนเป็นเงินจำนวน 23,370 ล้านบาท ซึ่งการกระทำของจำเลยที่ 1 ดังกล่าว ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ ก.ล.ต. กำหนดไว้ในประกาศเรื่องการเผยแพร่ข้อมูล เสนอขายหลักทรัพย์ลงวันที่ 30 เม.ย.44

ส่วนจำเลยที่ 2 ในฐานะเป็นกรรมการผู้มีอำนาจรับผิดชอบการดำเนินกิจการของจำเลยที่ 1 และเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในหลักทรัพย์หุ้นของบริษัท ได้เผย แพร่ข่าวเกี่ยวกับมูลค่าหุ้นว่า มูลค่าองค์กรของ “TPIPL” มีมูลค่าอยู่ที่ 91,387 ล้านบาท และมูลค่าที่เหมาะสมของหุ้นอยู่ที่ 89 บาทต่อหุ้น ขณะที่ฐานะการเงินของบริษัทในส่วนของผู้ถือหุ้นก็มีฐานะการเงินสูงกว่าความเป็นจริง ซึ่งข้อความดังกล่าวทำให้บุคคลอื่นเข้าใจว่าหลักทรัพย์ของ บมจ.ทีพีไอ จะมีราคาสูงขึ้นกว่าราคาหุ้นของบริษัทที่ซื้อขายกันในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในขณะนั้น ทั้งที่จริงแล้ว ข้อมูลเรื่องราคาหุ้นดังกล่าว จำเลยที่ 2 ไม่ได้แจ้งไว้กับตลาดหลักทรัพย์ฯ แต่อย่างใด โดยในการเผยแพร่ข่าวนั้นจำเลยที่ 3-4 ร่วมกันเป็นผู้สนับสนุนให้ความช่วยเหลือ ด้วยการโฆษณาเผยแพร่ ข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ ผ่านทางหนังสือพิมพ์ สื่อสิ่งพิมพ์ สื่ออินเตอร์เน็ต และอื่นๆ จำเลยทั้ง 4 ให้การปฏิเสธ 

ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า บริษัทจำเลยที่ 1 ได้ยื่นคำขออนุญาตขายหุ้นสามัญออกใหม่  เพื่อเพิ่มการลงทุนของบริษัทถึง 3 ครั้ง ต่อ ก.ล.ต. ครั้งแรกวันที่ 3 ต.ค. 44 แต่ยื่นเอกสารแสดงข้อมูลสถานะการเงินไม่ครบถ้วน จึงยกเลิกการเสนอขาย ต่อมามีการยื่นคำขอ พร้อมเอกสารการเสนอขายหุ้นอีกเป็นครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 3 ต.ค. 45 โดยบริษัทจำเลยที่ 1 แสดงข้อมูลการประเมินมูลค่า 714 ล้านบาทเศษ เท่ากับมูลค่าหุ้น 14 บาทต่อหุ้น โดยแจ้งการเสนอขายหุ้นว่าเพื่อนำเงินไปปรับโครงสร้างการชำระหนี้ และซื้อเครื่องจักรปูนซีเมนต์ โดย ก.ล.ต. ให้หนังสือชี้ชวนเสนอขายหุ้นมีผลบังคับในวันที่ 16 มี.ค. 46 แต่การเสนอขายหุ้นครั้งนั้น พบว่ามีผู้มาจองหุ้นไม่ครบเต็มจำนวน ทำให้ต้องขอแจ้งยกเลิกในวันที่ 30 มี.ค. 46 จากนั้นบริษัทจำเลยที่ 1 ได้ยื่นคำขอเสนอขายหุ้นอีกเป็นครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 30 ก.ย. 46 จำนวน 300 ล้านหุ้น โดย ก.ล.ต. อนุญาตการเสนอขายเมื่อวันที่ 14 พ.ย. 46 และให้หนังสือชี้ชวนการเสนอขายหุ้นมีผลบังคับในวันที่ 22 ม.ค. 47 แต่ปรากฏว่าก่อนการอนุญาตให้ขายหุ้นในครั้งที่ 3 นี้ เมื่อวันที่ 15 ก.ย. 46 บริษัทจำเลยที่ 1 ได้ติดต่อบริษัทเวิลด์ไวลด์ มีเดีย จำกัด เพื่อซื้อสื่อในการโฆษณาขายหุ้นเพิ่มทุนดังกล่าว และในวันที่ 16 ก.ย.46 บริษัทจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 และ บจก.เวิลด์ไวลด์ฯ ได้ว่าจ้างบริษัทคีทแอนด์คิน คอมมูนิเคชั่น คอนซัลแทนท์ จำกัด จัดทำข้อมูลเพื่อเผยแพร่การเสนอขายหุ้น ต่อมาวันที่ 6 ต.ค.46 บริษัทจำเลยที่ 1 ว่าจ้าง บริษัทจำเลยที่ 3 โดยจำเลยที่ 4 ให้ประเมินคุณค่าองค์กรบริษัทจำเลยที่ 1 มีมูลค่าอยู่ที่ 91,387 ล้านบาท ซึ่งเมื่อหักมูลค่าหนี้แล้ว มูลค่าจะเหลืออยู่ที่ 44,000 ล้านบาทเศษ โดยราคาหุ้นที่เหมาะสมอยู่ที่ราคา 89 บาทต่อหุ้น จากนั้นเมื่อวันที่ 2-3 พ.ย. 46 บริษัทคีทแอนด์คิน ได้นำข้อมูลดังกล่าวซึ่งผ่านความเห็นชอบจากบริษัทจำเลยที่ 3 ไปเผยแพร่

คดีจึงมีประเด็นต้องวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1-4 กระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและการลงทุนของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เบิกความว่า หลังจากทราบการประเมินคุณค่าองค์กรเมื่อวันที่ 6 ม.ค. 47 พยานได้เรียกจำเลยที่ 4 มาให้ถ้อยคำ ซึ่งจำเลยที่ 4 ระบุว่า เมื่อปลายปี 45 จำเลยที่ 4 และจำเลยที่ 2 ได้พูดคุยถึงการเข้าไปประเมินคุณค่าองค์กรบริษัทจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ระบุว่าให้จำเลยที่ 4 ทำวิธีอะไรก็ได้ เนื่องจากบริษัทจำเลยที่ 1 มีปัญหาเรื่องภาระหนี้และชื่อเสียงของบริษัทไม่ดี ต่อมาจำเลยที่ 2 จึงว่าจ้างให้จำเลยที่ 4 เป็นผู้ประเมินคุณค่าองค์กร นอกจากนี้โจทก์ก็มีพนักงาน บมจ.สเติร์นฯ จำเลยที่ 3 และพนักงาน บจก.คีทแอนด์คิน เบิกความด้วยว่า หลังจากที่มีการประเมินคุณค่าก็ได้รับข้อมูลมาเผยแพร่ในสื่อต่างๆ ซึ่งศาลเห็นว่าพยานทั้งสามปากเบิกความสอดคล้องต้องกันสมเหตุสมผล ตามที่ได้มีการปฏิบัติหน้าที่ และไม่มีส่วนได้ส่วนเสียในผลแห่งคดี อีกทั้งพยานทั้งสามปากไม่มีเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน เมื่อพิจารณาประกอบกับถ้อยคำที่จำเลยที่ 4 ให้ไว้กับ ผอ.ฝ่ายการตลาดฯ ของ ตลท. เจือสมคำเบิกความของพยานโจทก์ ทำให้ไม่มีข้อพิรุธระแวงสงสัยว่าพยานโจทก์ทั้งสามจะเบิกความให้ร้ายจำเลย

 ส่วนที่จำเลยนำสืบโต้แย้งว่าการนำเสนอข้อมูลประเมินคุณค่าองค์กรเผยแพร่ทางสื่อมวลชน เป็นการนำเสนอข้อมูลในเชิงวิชาการนั้น เห็นว่าข้อมูลที่มีการนำเสนอเผยแพร่ทางสื่อส่วนใหญ่เป็นการแสดงตัวเลขที่มีมูลค่าซึ่งมีผลต่อการวิเคราะห์และตัดสินใจการซื้อหุ้น และเมื่อพิจารณาถึงการยื่นคำขออนุญาตเสนอขายหุ้นบริษัทจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเวลาใกล้เคียงกับการยื่นคำขออนุญาตเสนอขายหุ้นครั้งที่ 3 เพราะการเสนอขายหุ้นครั้งที่ 2 มีผู้จองซื้อหุ้นไม่ครบเต็มจำนวน ดังนั้นจึงเชื่อว่าเป็นมูลเหตุจูงใจที่จะต้องมีการนำเสนอข้อมูลการประเมินคุณค่าในการเสนอขายหุ้นครั้งที่ 3 ข้อต่อสู้ของจำเลยจึงไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานโจทก์ได้ โจทก์ยังมีพยาน เป็นผู้ซื้อหุ้นทั่วไปอีก 3 ปาก เบิกความว่าเมื่อได้รับทราบข้อมูลการเสนอขายหุ้น มีการแสดงตัวเลขประเมินคุณค่าองค์กรผ่านการโฆษณาทางสื่อมวลชน จึงตัดสินใจซื้อหุ้นของบริษัทจำเลยที่ 1 ขณะที่จำเลยที่ 4 นำสืบอ้างว่าไม่ทราบมาก่อนว่าการเผยแพร่ข้อมูลประเมินคุณค่าองค์กรเกิดขึ้นก่อนการขายหุ้นนั้น ศาลเห็นว่าจำเลยที่ 4 มีความสนิทสนมคุ้นเคยกับจำเลยที่ 2 มาก่อนนานถึง 10 ปี เพราะเคยเป็นวิศวกรของบริษัทจำเลยที่ 2 ที่จังหวัดระยอง และยังเคยเป็นที่ปรึกษาทางธุรกิจในการประเมินคุณค่าองค์กรใหญ่มาแล้วหลายองค์กร ประกอบกับจำเลยที่ 4 จบการศึกษาถึงระดับปริญญาเอก จึงเชื่อว่าจำเลยที่ 4 ย่อมรู้เห็นการกระทำผิดมาโดยตลอด โดยมีลักษณะแบ่งหน้าที่กันทำ จึงมีฐานะเป็นตัวการร่วมที่จะรับโทษเท่ากับจำเลยที่ 1 และที่ 2

พิพากษาว่าจำเลยที่ 1-4 มีความผิดตาม พ.ร.บ. หลักทรัพย์ ฯ ม.77, 239, 280 และ 296 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา ม.83 อันเป็นการกระทำผิดหลายกรรม ให้เรียงกระทงลงโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา ม.91 ให้จำคุกจำเลยที่ 2 และที่ 4 คนละ 3 ปี และปรับจำเลยที่ 1 และ 3 คนละ 6,900,300,000 บาท การกระทำของจำเลยก่อให้เกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจของประเทศในวงกว้าง จึงไม่มีเหตุให้รอการลงโทษ

ภายหลังฟังคำพิพากษานายประชัยถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัวไปรอการประกันตัว โดยมีสีหน้าที่เคร่งเครียด ก่อนกล่าวให้สัมภาษณ์ด้วยน้ำตาคลอเบ้าว่า เรื่องคดีไม่เป็นห่วง เพราะจะยื่นอุทธรณ์สู้คดีอย่างแน่นอน เพราะเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม ส่วนผลจะออกมาอย่างไรอยู่ที่ดุลยพินิจของศาล ต่อข้อถามว่า จะมีผลต่อการลงเล่นการเมืองหรือไม่ นายประชัยตอบว่า เมื่ออาสามาทำงานเพื่อประเทศชาติก็ต้องโดนแบบนี้ เนื่องจากยังมีอิทธิพลของกลุ่มอำนาจเก่าอยู่ จากนั้นได้มอบอำนาจให้นายสุทัศน์ เงินหมื่น ทนายความยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์พันธบัตรรัฐบาลมูลค่า 1 ล้านบาท ขอประกันตัว ต่อมาศาลพิจารณาแล้วอนุญาตให้ประกันตัวออกไปได้ โดยตีหลักทรัพย์คนละ 3 แสนบาท นายประชัยกล่าวว่า เรื่องนี้ไม่กระทบต่อการทำงานทางการเมืองแต่อย่างใด ส่วนคดีจะยื่นอุทธรณ์ตามกระบวนการให้ถึงที่สุด ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะเดินลงบันไดศาลเพื่อจะกลับ นายประชัยได้สะดุดขั้นบันไดศาลจนเซเล็กน้อย จนสมาชิกพรรคที่ไปให้กำลังใจต้องช่วยกันจับมือประคอง ส่วนนายเชียรช่วง ใช้เงินสดจำนวน 3 แสนบาทยื่นขอประกันตัวออกไป

นายสุทัศน์ เงินหมื่น กล่าวว่า เตรียมยื่นอุทธรณ์คดีต่อไป ซึ่งจะยกคุณงามความดีที่นายประชัยเคยดำรงตำแหน่ง เป็น ส.ว. ปฏิบัติภารกิจหน้าที่เพื่อประเทศชาติมาก่อน ไว้ในคำอุทธรณ์ให้ศาลพิจารณาด้วย

วันเดียวกัน ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต.ให้สัมภาษณ์ ถึงกรณีที่นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ หัวหน้าพรรคมัชฌิมาธิปไตย ถูกศาลอาญาสั่งจำคุก 3 ปี โดยไม่รอลงอาญาในคดีปั˜นหุ้นทีพีไอว่า ยังไม่เห็นรายละเอียดว่าศาลมีคำพิพากษาว่าอย่างไร แต่ทั้งนี้ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 102 ข้อ 4 ระบุว่า บุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อต้องคำพิพากษาให้จำคุก และถูกคุมขังอยู่ตามหมายของศาล ดังนั้น จึงขึ้นอยู่กับว่าจะมีการขอประกันตัว และยื่นอุทธรณ์หรือไม่โดยหากยื่นขอประกันตัวและศาลไม่อนุญาต และถูกคุมขังตามหมายศาลก็เสร็จ คือขาดคุณสมบัติ กกต.ก็จะต้องยื่นคำร้องต่อศาลฎีกา ก่อนวันเลือกตั้ง ส่วนจะขาดคุณสมบัติไปถึงหัวหน้าพรรคด้วยหรือไม่นั้น นายอภิชาตกล่าวว่า ดูตามรัฐธรรมนูญเรื่องคุณสมบัติลงสมัครแล้วก็น่าจะขาดคุณสมบัติ  

นายประพันธ์ นัยโกวิท กกต. กล่าวถึงกรณีที่ศาลให้ประกันตัวนายประชัยว่า เรื่องนี้ถือว่านายประชัยยังไม่ขาดคุณสมบัติรับสมัครรับเลือกตั้ง ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญ มาตรา 102 (4) คุณสมบัติผู้สมัครรับเลือกตั้งจะสิ้นสุดเมื่อต้องคำพิพากษา โดยถูกจำคุก กักขัง หากไม่ถูกจำคุก กักขัง เพราะศาลให้ประกันตัว ก็สามารถดำเนินกิจกรรมทางการเมืองได้ต่อไป และระหว่างที่มีการต่อสู้ทางคดี ได้รับการเลือกตั้งเป็น ส.ส. ก็สามารถดำรงตำแหน่งได้ต่อไป ตราบจนกว่าผลของคดีจะเป็นที่สิ้นสุด ซึ่งในกระบวนการต่อสู้ทางคดี สามารถต่อสู้อุทธรณ์ได้ถึงชั้นฎีกา  ผลคดีจะถึงที่สุดให้รับโทษจำคุก ทั้งนี้ หากได้รับการเลือกตั้ง นายประชัยจะเป็นได้เพียง ส.ส.เท่านั้น ไม่มีสิทธิที่จะได้เป็นรัฐมนตรี เนื่องจากรัฐธรรมนูญ มาตรา 182 (3) กำหนดคุณสมบัติต้องห้ามที่บุคคลต้องคำพิพากษาให้จำคุก กักขัง ทั้งที่ให้รับโทษและรอลงอาญา ก็ถือเป็นบุคคลต้องห้ามในการเป็นรัฐมนตรี

ในส่วนของตลาดหุ้น ทันทีที่ศาลอาญาอ่านคำพิพากษาเสร็จสิ้น ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ก็ได้ขึ้นเครื่องหมาย “H” (HALT) สั่งห้ามการซื้อขายหุ้นของบริษัททีพีไอโพลีน จำกัด (มหาชน) หรือ TPIPL เป็นการชั่วคราว เนื่องจากปัจจุบันนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ยังคงดำรงตำแหน่งกรรมการใน บมจ.ทีพีไอโพลีน อยู่ ขณะเดียวกัน ทีพีไอโพลีนยังอยู่ระหว่างการฟื้นฟูกิจการภายใต้กฎหมายว่าด้วยการล้มละลาย ทั้งนี้ ผู้บริหารตลาด หลักทรัพย์ระบุว่ากรณีดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อการซื้อขายหุ้นของบริษัท ในขณะที่ยังต้องรอคำชี้แจง และข้อมูลจากบริษัทอย่างเป็นทางการ จึงมีคำสั่งให้พักการซื้อขายหุ้นของ บมจ.ทีพีไอโพลีน ไว้ตั้งแต่ภาคบ่ายของวันที่ 3 ธ.ค. เป็นต้นไป จนกว่าบริษัทจะได้ชี้แจงหรือเปิดเผยสารสนเทศสำคัญ และผลกระทบต่อบริษัทไปยังตลาดหลักทรัพย์ อย่างไรก็ตาม ภาวะการซื้อขายหุ้นในช่วงบ่ายวันเดียวกันนี้ ปรากฏว่าหุ้นในกลุ่มพลังงานโดยเฉพาะในเครือบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ได้ถูกนักลงทุนเทขายออกมาอย่างหนัก จากช่วงเช้าที่เปิดตลาดในแดนบวกกลับปิดตลาดลดลงไปถึง 15.32 จุด โดยปิดที่ 831.12 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 16,939.82 ล้านบาท

นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ กล่าวว่า นายประชัยได้ขาดคุณสมบัติการเป็นกรรมการ และผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนตามข้อบังคับของตลาดหลักทรัพย์ ตั้งแต่ถูกหน่วยงานทางการหรือ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาด หลักทรัพย์ร้องทุกข์กล่าวโทษในคดีนี้มาตั้งแต่ปี 48 แล้ว และตลาดหลักทรัพย์ก็ได้แจ้งหนังสือไปยังบริษัททีพีไอโพลีนให้ถอดถอนนายประชัยออกจากการเป็นผู้บริหาร แต่ทางบริษัทยังไม่ยอมดำเนินการแก้ไข ซึ่งตลาดได้แจ้งไปว่าหากไม่ถอดถอนอาจมีผลต่อสถานะการเป็นบริษัทจดทะเบียน ทำให้ทีพีไอโพลีนขาดคุณสมบัติในการเป็นบริษัทจดทะเบียน แต่ต่อมาภายหลังนายประชัยได้ฟ้องสำนักงาน ก.ล.ต.และตลาดหลักทรัพย์ต่อศาลปกครอง กล่าวหาว่ามีการใช้อำนาจโดยมิชอบ และขอให้ศาลปกครอง ทุเลาคดี ขณะนี้เรื่องยังอยู่ในการพิจารณาของศาลปกครองอยู่ จึงทำให้ต้องรอผลการตัดสินของศาลปกครอง แต่ ตลาดหลักทรัพย์ยังคงยืนยันว่า ตามข้อบังคับในเรื่องคุณสมบัติการเป็นกรรมการและผู้บริหารของบริษัทจดทะเบียน ที่ตลาดหลักทรัพย์ถือปฏิบัติกับบริษัทจดทะเบียนทุกแห่ง หากผู้บริหารและกรรมการบริษัทถูกร้องทุกข์กล่าวโทษจากหน่วยงานทางการด้วยคดีความผิดด้านหลักทรัพย์ ก็ถือว่าบุคคลนั้นขาดคุณสมบัติแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม การที่ศาลอาญาชั้นต้นมีคำพิพากษาเช่นนี้ ก็ถือเป็นการยืนยันคดีที่ ก.ล.ต. ฟ้องว่ามีการกระทำความผิดจริง  

ในส่วนของตัวบริษัททีพีไอโพลีนที่ถูกตัดสินให้ จ่ายค่าปรับเป็นจำนวนเงินสูงถึง 6,900 ล้านบาท ซึ่งน่าจะเป็นตัวเลขค่าปรับที่สูงที่สุดในคดีความผิดเรื่องการเปิดเผยข้อมูลที่ไม่รายงานต่อตลาดหลักทรัพย์ และ ก.ล.ต.ในการยื่นแบบคำเสนอขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์ (ไฟล์ลิ่ง) นอกจากนี้ยังเป็นตัวเลขที่สูง ซึ่งตลาดหลักทรัพย์คงต้องรอให้บริษัทชี้แจงว่าเรื่องดังกล่าวส่งผลกระทบต่องบการเงินของบริษัทอย่างไร และบริษัทจะดำเนินการต่อไปอย่างไร ซึ่งบริษัทจะต้องรายงานข้อมูลมาให้ชัดเจนเพียงพอ หากบริษัทยังไม่ชี้แจงจนมีความชัดเจน ตลาดหลักทรัพย์จะยังคงขึ้นเครื่องหมายห้ามการซื้อขายหุ้นต่อไป

ข่าวจาก ไทยรัฐ

 


Copy Link : ท่านสามารถ copy ลิงค์ของข่าวนี้เพื่อเผยแพร่ต่อได้
แชร์หน้านี้ ไปยัง facebook ตอบกลับกระทู้นี้ VV กดถูกใจกระทู้นี้ VV


ลิงก์ผู้สนับสนุน

ลิงก์ผู้สนับสนุน

 

 

 

 

 



แจ้งลบกระทู้นี้

อ่าน 1498

แสดงความคิดเห็น โดย กรรมกรข่าว IP: Hide ip , วันที่ 04 ธ.ค. 50 เวลา 11:26:56
 

 

จำหน่าย ผ้าพันคอ ผ้าคลุมไหล่ ผ้าฝ้ายทอมือ ราคาส่ง ราคาถูก เริ่มต้นที่ 25 บาท/ผืน ผลิตจากผ้าฝ้ายแท้ 100%โซ่สเตอร์และวงล้ออลูมิเนียม ดี.ไอ.ดี ถูกผลิตขึ้นโดยเทคโนโลยีของประเทศญึ่ปุ่น และส่งไปยังผู้ประกอบการรถมอเตอร์ไซค์ทั่วโลกเครื่องฟอกอากาศ pm2.5 Oxygen สุดคุ้ม ราคาถูก 1,490 ลำพูน-เชียงใหม่ ส่งฟรี!
www.cmprice.com เว็บไซต์ที่คนเข้าชมมากที่สุดในเชียงใหม่ !!! เห็นชัด เห็นบ่อย ตรงกลุ่มเป้าหมาย เพียง 1500 บาทต่อเดือน
สนใจลงโฆษณาตรงนี้ ติดต่อ 080-500-1180

 

 
กรุณาอ่าน
ข้อความที่ท่านได้อ่าน เกิดจากการเขียนโดยสาธารณชน และส่งขึ้นมาแบบอัตโนมัติ เจ้าของเว็บบอร์ดไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถ ระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือชื่อผู้เขียนที่ได้เห็นคือชื่อจริง ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใด ที่ขัดต่อกฎหมายและ ศีลธรรม หรือเป็นการกลั่นแกล้งเพื่อให้เกิดความเสียหาย ต่อบุคคล หรือหน่วยงานใด กรุณาแจ้งมาที่ 08-0500-1180 เพื่อให้ผู้ควบคุม ระบบทราบและทำการลบข้อความนั้น ออกจากระบบต่อไป
 
 
 


ปิดโฆษณานี้X

ผ้าพันคอราคาถูก

ปิดโฆษณานี้X

จำหน่าย ผ้าพันคอ ผ้าคลุมไหล่ ผ้าฝ้ายทอมือ ราคาส่ง ราคาถูก เริ่มต้นที่ 25 บาท/ผืน ผลิตจากผ้าฝ้ายแท้ 100%โซ่สเตอร์และวงล้ออลูมิเนียม ดี.ไอ.ดี ถูกผลิตขึ้นโดยเทคโนโลยีของประเทศญึ่ปุ่น และส่งไปยังผู้ประกอบการรถมอเตอร์ไซค์ทั่วโลกเครื่องฟอกอากาศ pm2.5 Oxygen สุดคุ้ม ราคาถูก 1,490 ลำพูน-เชียงใหม่ ส่งฟรี!
www.cmprice.com เว็บไซต์ที่คนเข้าชมมากที่สุดในเชียงใหม่ !!! เห็นชัด เห็นบ่อย ตรงกลุ่มเป้าหมาย เพียง 1500 บาทต่อเดือน
สนใจลงโฆษณาตรงนี้ ติดต่อ 080-500-1180

 


หน้าแรก l หางานเชียงใหม่ | ตลาดออนไลน์ | เว็บบอร์ด | อัตราค่าลงโฆษณา | ลงโฆษณาฟรี ประกาศฟรี | ติดต่อเรา


เพื่อนบ้านเราทั้งหมด วิธีแลก Link

© cmprice.com since 14 Jan 2005
E-mail: info@cmprice.com
FaceBook : facebook.com/cmprice.fc
TEL. 08-0500-1180
Line id: cmprice









www.cmprice.com ที่นี่มีสิ่งดีๆ รอคุณอยู่
ผู้สนับสนุน แบบพิเศษ

บ้านหนองช้างคืน | เครื่องฟอกอากาศ เชียงใหม่-ลำพูน | ผ้าพันคอราคาถูก | ของชำร่วย | ลงโฆษณาฟรี ประกาศฟรี