กด like เพื่อติดตามข่าวสารดีๆ จาก cmprice.com VVVVVV
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
© เนื้อหาข่าว/กระทู้
26 เม.ย. 2565 คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทยร่วมกับสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ส่งจดหมายเปิดผนึกถึงรัฐบาลเพื่อเสนอปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำให้กับผู้ใช้แรงงานทั่วประเทศ 492 บาท ระบุว่า
เรียน นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา
ตามที่คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) และ สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์(สรส.) ได้ใช้ความพยายามเพื่อผลักดันให้รัฐบาลปรับค่าจ้างขั้นต่ำเพื่อความเป็นธรรมในสังคม และการดำเนินชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรีเหตุด้วยสภาวการณ์เศรษฐกิจโดยรวมทั้งอัตราเงินเฟ้อทั้งของประเทศไทย และทั่วโลกที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องยิ่งทำให้ราคาสินค้าทุกรายการ ทั้งอาหารการกิน เครื่องมือ เครื่องใช้ ราคาน้ำมัน ก๊าซหุงต้ม เป็นต้น ทำให้คนงานและพี่น้องผู้ใช้แรงงาน และประชาชนต่างใช้ชีวิตในแต่ละวันได้อย่างยากลำบาก และยิ่งเลวร้ายมากขึ้นเมื่อต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-๑๙ คนงานจำนวนไม่น้อยต้องตกงาน ว่างงาน ขาดรายได้ ไร้อาชีพ บางคนต้องเข้าโครงการทำงานที่บ้าน (Work from home) เพื่อลดความเสี่ยงจากโควิด-๑๙ แต่ต้องแบกรับภาระจากค่าไฟฟ้า ค่าน้ำประปาค่าโทรศัพท์ ค่าอินเตอร์เน็ต แทนผู้ประกอบการที่ตนทำงานให้ ทำให้แต่ละคนต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอด ในขณะที่ค่าจ้างไม่ได้มีการปรับมาเกือบ ๓ ปีแล้ว นำไปสู่ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ สังคม
ซึ่งประเทศไทยถูกจัดลำดับจาก CS Global Wealth Report เมื่อปี 2018 จนถึงปัจจุบันว่าเป็นประเทศที่ “มีความเหลื่อมล้ำสูงที่สุดในโลก”
หลายประเทศได้ให้น้ำหนักและความสำคัญกับคนงาน เนื่องจากเป็นตัวชี้วัดการเติบโตของระบบเศรษฐกิจ ที่กล่าวเช่นนั้นเหตุผลเชิงประจักษ์ ก็คือ การที่รัฐบาลสนับสนุนการลงทุน และมีการจ้างงาน อัตราการว่างงานสามารถควบคุมได้ย่อมเป็นสัญญาณการเติบโตของประเทศ แล้วการที่ประเทศใดๆ สามารถสร้างงานย่อมหมายถึง การสร้างคน สร้างเศรษฐกิจของประเทศให้เกิดการหมุนเวียน เกิดการผลิต มีการจ้างงาน เกิดรายได้ มีการจับจ่าย เพราะท้ายที่สุดแล้วรายได้ของแรงงานย่อมหมายถึงภาษีที่รัฐสามารถจัดเก็บได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่งนั่นคือ เป้าหมายที่แท้จริงของการสร้าง ความมั่นคง ความมั่งคั่ง ความยั่งยืนให้กับประเทศ
ครั้งสุดท้ายของการปรับค่าจ้างขั้นต่ำในประเทศไทยเกิดขึ้นเมื่อ ๑ มกราคม ๒๕๖๓ โดยอัตราค่าจ้างขั้นต่ำได้ถูกแบ่งออกเป็น ๑๐ ราคา ตามเขตพื้นที่ คือ ๓๑๓, ๓๑๕, ๓๒๐, ๓๒๓, ๓๒๔, ๓๒๕, ๓๓๐, ๓๓๑, ๓๓๕ และ ๓๓๖ บาท แต่หลังจากนั้นจนถึงปัจจุบันค่าจ้างขั้นต่ำเป็นเรื่องที่ไม่มีใครพูดถึงอาจเป็นเพราะสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-๑๙ ที่รัฐบาลและผู้ประกอบการบางแห่งอ้างว่า ระบบการผลิต การจ้างงาน รวมทั้งระบบเศรษฐกิจอยู่ในสภาวะตกต่ำ ธุรกิจ สถานประกอบการ ร้านค้า ต้องลดการผลิต บางแห่งต้องปิดกิจการไปเลย ทำให้เกิดการเลิกจ้างแต่ความเป็นจริงอีกด้านหนึ่งสถานประกอบการจำนวนไม่น้อยเช่นกัน ที่อาศัยสถานการณ์โรคโควิด ปลด เลิกจ้างคนงาน โดยไม่จ่ายเงินใดๆ ทำให้คนงานเป็นจำนวนมากขาดรายได้ ไร้อาชีพ ดังที่กล่าวมา แม้รัฐบาลพยายามยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือด้วยมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการ และแจกจ่ายเงินให้แก่ประชาชนในโครงการต่างๆ รวมทั้งมาตรการของระบบประกันสังคม แต่ก็ไม่ได้ทำให้คนงานมีชีวิตที่ดีขึ้นเพราะการช่วยเหลือเป็นเพียงระยะสั้นๆ และเงินที่นำมาแจกก็ล้วนเป็นเงินที่กู้มา ซึ่งจะเป็นหนี้สาธารณะในอนาคต ที่ประชาชนคนไทยทุกคนจะต้องร่วมชดใช้ แต่ในอีกด้านหนึ่งในขณะที่ประชาชนทุกข์ยากอย่างหนักแต่รัฐบาลเองกลับไม่สามารถควบคุมราคาสินค้าอุปโภค บริโภคให้อยู่ในระดับที่ประชาชนสามารถซื้อหาได้โดยไม่เดือดร้อน ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ความทุกข์ยากของประชาชนที่มีอยู่แล้วกลับเพิ่มสูงมากขึ้น ข้อมูลทั้งจากสถาบันทางการเงิน สถาบันวิจัยของรัฐและเอกชนหลายแห่งต่างวิเคราะห์ที่สอดคล้องกัน คือภาวะอัตราเงินเฟ้อและราคาสินค้าที่ปรับราคาสูงขึ้นได้ส่งผลกระทบด้านแรงงานอย่างมีนัยสำคัญต่อการดำเนินชีวิตและการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนงาน
ก่อนหน้านี้ รัฐบาลโดยพรรคพลังประชารัฐซึ่งเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ได้เคยแถลงนโยบายต่อสาธารณะว่า จะปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำอย่างน้อยวันละ ๔๒๕ บาท จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่ดำเนินการตามที่ได้หาเสียงไว้แต่ประการใดและที่ผ่านมา คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย
(คสรท.) และสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) ได้เคยยื่นนำเสนอหลักการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ ๓๖๐ บาท ๔๒๑บาท และ ๗๐๐ บาท โดยปรับเท่ากันทั่วประเทศ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๒ ถึง ๒๕๖๐ เหตุผลในการขอปรับเพิ่มนั้นมาจากการสำรวจความคิดเห็นจากผู้ใช้แรงงานในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ ซึ่งล้วนแสดงถึงความต้องการถึงความเดือดร้อนค่าจ้างไม่พอที่จะเลี้ยงตนเองและครอบครัว แม้กระทั่งลูกจ้างในภาครัฐที่รัฐเป็นผู้จ้างงานเองแต่กลับไม่ได้รับค่าจ้างขั้นต่ำตามที่รัฐประกาศโดยอ้างว่าลูกจ้างภาครัฐไม่อยู่ภายใต้กฎหมายคุ้มครองแรงงานซึ่งเป็นการเลือกปฏิบัติ ขัดต่อหลักปฏิญญาสากล ขององค์การสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิมนุษยชน และหลักการขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ(ILO)
อย่างก็ตามการเสนอเรื่องตัวเลขค่าจ้างขั้นต่ำคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) และ สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) ได้ใช้ข้อมูลการสำรวจจากความเดือดร้อนของคนงานทั่วทุกภูมิภาคของประเทศเมื่อเดือนกันยายน พ.ศ.๒๕๖๐ ผลสรุปจากแบบสอบถามคือค่าใช้จ่ายรายวันๆ ละ ๒๑๙.๙๒ บาท เดือนละ ๖,๕๘๑.๔๐บาท (ค่าเดินทาง ค่าอาหาร) ค่าใช้จ่ายรายเดือน (เช่น ค่าน้ำประปา ไฟฟ้า ค่าเช่าบ้าน ผ่อนบ้าน ค่าโทรศัพท์อินเตอร์เน็ต การศึกษาบุตร ดูแลบุพการี ค่าใช้จ่ายสิ่งของเครื่องใช้ในบ้าน) เดือนละ ๑๔,๗๗๑.๕๒ บาท หากนำค่าใช้จ่ายรายวัน และ รายเดือน มารวมกันจะอยู่ที่ ๒๑,๓๕๒.๙๒ เป็นค่าจ้างที่พอเลี้ยงครอบครัวได้อยู่ที่วันละ ๗๑๒ บาท แต่คสรท. และ สรส. ได้ประชุมร่วมกันและมีมติเสนอตัวเลขในการปรับค่าจ้างเชิงประนีประนอมโดยคำนวณเฉพาะค่าใช้จ่ายรายเดือนมาเฉลี่ยด้วย ๓๐ วัน
ดังนั้นตัวเลขที่เสนอปรับค่าจ้างในครั้งนี้จึงอยู่ที่ วันละ ๔๙๒ บาท และขอให้ปรับขึ้นในอัตราเท่ากันทั้งประเทศครอบคลุมแรงงานทุกภาคส่วน เหตุเพราะราคาสินค้าที่ปรับเพิ่มขึ้นนั้นมีการปรับพร้อมกันทั้งประเทศไม่ได้เลือกเขตเลือกโซน เลือกจังหวัด และ เกือบทุกรายการราคาสินค้า
ในต่างจังหวัดสูงกว่าในกรุงเทพฯ และส่วนกลาง
ข้อเสนอทั้งหมดดังกล่าว คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) และสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์(สรส.) ได้รวบรวมข้อมูลความเป็นจริง จากแรงงานในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ประกอบกับข้อมูลเชิงประจักษ์จากหน่วยงานรัฐ ทั้งจากธนาคารแห่งประเทศไทย กระทรวงพาณิชย์ และจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) และในสถานการณ์ของประเทศไทย ถึงภาวะการดำรงชีพของคนงานและประชาชนที่มีความยากลำบากมากยิ่งขึ้น ดังนั้น ในช่วงของการฟื้นฟูและพัฒนาประเทศจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐบาลจะต้องดำเนินการแก้ไขปัญหาและปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำทั่วประเทศ
ให้เท่ากัน ทั้งในระยะยาวรัฐบาลต้องสร้างมาตรฐานและหลักประกันที่มั่นคงแก่คนงาน เพื่อสร้างความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม
“นายทุนออกมาปกป้องผลประโยชน์ของพวกเขาก็ไม่ใช่เรื่องผิด
แต่คนงานยื่นข้อเสนอต่อรัฐ เพียงแค่ยื้อชีวิตให้ไปต่อได้เท่านั้น”
“คุณภาพชีวิตที่ดี มีหลักประกัน รัฐบาลต้องยืนยันปรับค่าจ้าง เพื่อความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำ ๔๙๒ บาทต่อวันเท่ากันทั้งประเทศ”
คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.)
สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.)
๒๕ เมษายน ๒๕๖๕
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
|
|
|