• กสม. ย้ำให้ยกเลิกการตรวจหาเชื้อเอชไอวีก่อนรับเข้าทำงาน ชี้เป็นการเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งสุขภาพ |
โพสต์โดย คนข่าว , วันที่ 28 ส.ค. 65 เวลา 22:16:40 IP: Hide ip |
กด like เพื่อติดตามข่าวสารดีๆ จาก cmprice.com VVVVVV
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
© เนื้อหาข่าว/กระทู้
นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและมาตรฐานการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 22 ส.ค. 2565 ได้พิจารณารายงานผลการตรวจสอบอันเกี่ยวเนื่องกับการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมด้วยเหตุแห่งสุขภาพของผู้ป่วย/ผู้ติดเชื้อเอชไอวี 3 กรณี
ทั้งนี้ ประกอบด้วย 1. กรณีโรงพยาบาลของรัฐและเอกชนปฏิเสธการรับเข้าทำงานของผู้ร้องรายหนึ่งเนื่องจากผลการตรวจสุขภาพก่อนเข้าทำงานแสดงผลการติดเชื้อเอชไอวี 2. กรณีบริษัทเอกชนสองแห่งกำหนดเงื่อนไขให้ผู้สมัครงานที่ผ่านการคัดเลือกไปเข้ารับการตรวจหาเชื้อเอชไอวีก่อนเริ่มทำงาน 3. กรณีระเบียบมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งกำหนดเงื่อนไขไม่จ่ายเงินสวัสดิการรักษาพยาบาลกรณีพนักงานหรือครอบครัวของพนักงานเจ็บป่วยอันเป็นผลโดยตรงของเหตุการเป็นโรคเอดส์
สำหรับการพิจารณาของ กสม. เห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 มาตรา 27 กำหนดว่าการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคลด้วยเหตุความแตกต่างในสภาพทางกายหรือสุขภาพจะกระทำไม่ได้ และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม (ICESCR) ได้กำหนดหน้าที่ของรัฐภาคีว่าจะต้องรับประกันถึงการมีอยู่ของสิทธิในการทำงาน
ในขณะที่การเลือกปฏิบัติด้วยเหตุทางสุขภาพ อันรวมถึงผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์นั้น คณะกรรมการ ICESCR ได้มีความเห็นตามปรากฏในความเห็นทั่วไปหมายเลข 18: สิทธิในการทำงาน (General Comment No.18 – The Rights to Work: Article 6 of the International Covenant on Economic, Social and Cultural Rights) ว่าเป็นการจำกัดการเข้าถึงสิทธิในการทำงาน (Accessibility to the Right to Work)
นอกจากนี้ นโยบายการตรวจเลือดก่อนรับเข้าทำงาน ยังขัดต่อแนวปฏิบัติเรื่องโรคเอดส์ในโลกแห่งการทำงานขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ ซึ่งวางแนวปฏิบัติไว้ว่าไม่ควรมีการตรวจหาเชื้อเอดส์ในกระบวนการสรรหาบุคคลหรือในการต่ออายุการจ้างงาน การตรวจสุขภาพร่างกายใดๆ ก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นการตรวจก่อนจ้างงานหรือการตรวจร่างกายตามปกติของลูกจ้าง ก็ไม่ควรมีข้อบังคับให้ตรวจหาการติดเชื้อเอชไอวีร่วมด้วย
"ดังนั้น นโยบายการตรวจหาเชื้อเอชไอวีก่อนรับเข้าทำงาน จึงถือเป็นนโยบายที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนและถือเป็นการเลือกปฏิบัติด้วยเหตุทางสุขภาพ" นายวสันต์ กล่าว
นายวสันต์ กล่าวว่า ในส่วนกรณีที่ระเบียบมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งกำหนดว่า จะไม่ให้เงินสวัสดิการการรักษาพยาบาลกรณีพนักงานหรือครอบครัวของพนักงานเจ็บป่วยอันเป็นผลโดยตรงของเหตุการณ์เป็นโรคเอดส์นั้น แม้มหาวิทยาลัยแห่งดังกล่าวจะชี้แจงเหตุผลว่าพนักงานต้องปฏิบัติหน้าที่ใกล้ชิดนักศึกษา หรือปฏิบัติหน้าที่ให้บริการแก่บุคคลทั่วไปซึ่งจะต้องมีสุขภาพที่ดีและแข็งแรง ไม่เป็นโรคที่เป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติงานหรือเป็นพาหะในการแพร่เชื้อโรค แต่กรมควบคุมโรคระบุว่าโรคเอดส์สามารถติดต่อได้ทางเพศสัมพันธ์ การรับเชื้อทางเลือด และการติดจากแม่สู่ลูกเท่านั้น
ทั้งนี้ ผู้ป่วยโรคเอดส์อยู่ร่วมกับคนในสังคม และทำงานได้เหมือนคนปกติทั่วไป การกำหนดเงื่อนไขไม่ให้เงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลของผู้ป่วยโรคเอดส์ จึงเป็นการจำกัดสิทธิการได้รับบริการสาธารณสุขโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร ว่าลักษณะงานที่ปฏิบัติจะส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงานหรือไม่ และยังไม่ได้สัดส่วนเมื่อคำนึงถึงการคุ้มครองสิทธิพนักงานให้มีสุขภาพที่ดี ระเบียบที่กำหนดเงื่อนไขดังกล่าว จึงเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคลเพราะเหตุแห่งสุขภาพเช่นกัน
นายวสันต์ กล่าวอีกว่า ก่อนหน้านี้ กสม. เคยมีข้อเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาแก้ไขปัญหาการเลือกปฏิบัติต่อบุคคลที่ติดเชื้อเอชไอวีมาแล้วหลายกรณี เช่น กรณีโรงเรียนบังคับให้นักเรียนตรวจเลือดเพื่อหาเชื้อและใช้เป็นเงื่อนไขในการศึกษาต่อ กรณีบริษัทเอกชนให้ผู้สมัครงานตรวจหาเชื้อเอชไอวีก่อนเข้าทำงาน กรณีกฎ ก.ตร.ว่าด้วยคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของการเป็นข้าราชการตำรวจ พ.ศ.2547 มีการเลือกปฏิบัติต่อผู้ติดเชื้อเอชไอวี เป็นต้น แต่ยังพบว่ามีกรณีร้องเรียนลักษณะเดียวกันนี้มายัง กสม. อย่างต่อเนื่อง จึงเห็นควรมีข้อเสนอแนะเพื่อเน้นย้ำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องพิจารณาแก้ไขปัญหาในภาพรวมด้วย
ในการนี้ กสม. จึงมีข้อเสนอแนะในภาพรวมจากทั้งสามกรณีคำร้อง อันเกี่ยวเนื่องกับการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมด้วยเหตุแห่งสุขภาพของผู้ป่วย/ผู้ติดเชื้อเอชไอวี โดยระบุให้หน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่กำกับดูแลองค์กรภาครัฐหรือเอกชนที่มีนโยบายละเมิดสิทธิของผู้ป่วย/ผู้ติดเชื้อ ดำเนินการตามประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง การป้องกันและบริหารจัดการด้านเอดส์ในสถานประกอบกิจการ ลงวันที่ 5 พ.ย. 2563 โดยเฉพาะการให้ยกเลิกการตรวจหาเชื้อเอชไอวีก่อนรับเข้าทำงาน และติดตามการปฏิบัติตามประกาศดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดการคุ้มครองสิทธิต่อลูกจ้าง
ส่วนกรณีระเบียบการจ่ายเงินสวัสดิการรักษาพยาบาลของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง มีการเลือกปฏิบัติต่อผู้ป่วย/ผู้ติดเชื้อเอชไอวีนั้น ให้แก้ไขหรือยกเลิกระเบียบดังกล่าว และให้ รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม แจ้งให้มหาวิทยาลัยในสังกัดแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย กฎ ระเบียบ หรือคำสั่งใดๆ ที่ลิดรอนสิทธิผู้ป่วยโรคเอดส์ด้วย ทั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับมติ ครม. เมื่อวันที่ 27 ก.พ. 2550 ที่เห็นชอบหลักเกณฑ์การให้โอกาสผู้ติดเชื้อเอดส์ คนพิการ และผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติดซึ่งพ้นจากสภาพการใช้ยาเสพติด เข้าทำงาน หรือรับการศึกษาในหน่วยงานภาครัฐ
นายวสันต์ กล่าวด้วยว่า จากกรณีรายงานตรวจสอบข้างต้น จะเห็นได้ว่าหลายภาคส่วนยังมีความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับผู้ป่วย/ผู้ติดเชื้อเอชไอวี ที่นำไปสู่ความหวาดกลัวและการเลือกปฏิบัติ หรือกีดกันไม่ให้เข้าถึงสิทธิในการทำงานและการรักษาพยาบาลรูปแบบต่างๆ ทั้งที่จริงแล้วปัจจุบันมียารักษาที่มีประสิทธิภาพ ที่ทำให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวีสามารถดำรงชีวิตปกติเหมือนคนทั่วไปและไม่สามารถแพร่กระจายเชื้อได้
"นอกจากนี้ แม้ผู้ติดเชื้อเอชไอวีจะเข้าสู่ระยะของโรคเอดส์ แต่โรคเอดส์ก็ไม่ใช่โรคติดต่ออันตราย แต่เป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวังตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ.2558 เท่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่สังคมต้องช่วยกันสร้างความเข้าใจ" กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าว
ขอบคุณข้อมูล: health station สถานีกลางสุขภาวะ
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
|
|
|
แจ้งลบกระทู้นี้
อ่าน 405 |
|
แสดงความคิดเห็น |
โดย คนข่าว
IP: Hide ip
, วันที่ 28 ส.ค. 65
เวลา 22:16:40
|