• กรมสุขภาพจิต แนะวิธีสังเกตสัญญาณโกรธที่อาจลุกลามไปสู่ความรุนแรง |
โพสต์โดย คนข่าว , วันที่ 09 มิ.ย. 67 เวลา 11:32:46 IP: Hide ip |
กด like เพื่อติดตามข่าวสารดีๆ จาก cmprice.com VVVVVV
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
© เนื้อหาข่าว/กระทู้
กรมสุขภาพจิต ห่วงใยสถานการณ์ความรุนแรงทุกมิติในสังคม ย้ำชัดก่อนจะป้องกันโดยผู้อื่นการรู้เท่าทันและหาทางออกด้วยตนเองผ่านการจัดการความโกรธ จะสามารถยับยั้งความสูญเสียจากความรุนแรงได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมเผยไม่ควรปล่อยให้ความโกรธยังคงอยู่กับตนเอง แม้ไม่ได้ส่งผลต่อผู้อื่นแต่นำไปสู่ผลทางสุขภาพจิตระยะยาว
นายแพทย์พงศ์เกษม ไข่มุกด์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า จากสถานการณ์ปัจจุบันคนไทยต้องเผชิญกับแรงกดดันหลายเรื่องไม่ว่าจะเป็นปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ ปัญหาความเครียดในที่ทำงาน ปัญหาความเครียดในครอบครัว ในความสัมพันธ์ และปัญหาอื่นๆ อีกมากมาย จนทำให้บางคนเกิดความกดดันมีความเครียด มีความโกรธ คนที่สามารถจัดการกับอารมณ์ตัวเองได้ก็สามารถดำเนินชีวิตได้ตามปกติ แต่คนที่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ก็อาจแสดงอารมณ์โกรธและใช้ความรุนแรงทั้งต่อคนที่รัก คนใกล้ชิดแม้กระทั่งสัตว์เลี้ยงได้ ซึ่งความรุนแรงที่กระทำล้วนเกิดความทุกข์ทางใจ และเป็นบาดแผลทางด้านจิตใจให้ทั้งผู้กระทำและผู้ถูกกระทำ รวมทั้งคนใกล้ชิดที่รับรู้เหตุการณ์ ซึ่งวิธีที่จะตัดไฟได้ตั้งแต่ต้นลม คือการรู้เท่าทันความโกรธของตนเอง
9 สัญญาณเตือนอารมณ์ "โกรธ" ได้แก่
1.หน้าแดง
2.คิ้วขมวด
3.กัดฟัน
4.หัวใจเต้นแรงถี่
5.กำมือแน่น
6.รู้สึกกล้ามเนื้อเกร็ง
7.พูดเสียงดังขึ้น
8.อารมณ์โกรธหรือเกรี้ยวกราดมากกว่าปกติ 9.หายใจถี่ขึ้น
ซึ่งถ้าคุณมีอาการเหล่านี้ ควรรีบจัดการอารมณ์โกรธหรือออกจากสถานการณ์ดังกล่าวเพื่อลดความรุนแรงที่อาจจะลุกลามตามมา การป้องกันแก้ไขปัญหาความรุนแรงในสังคม มาสำรวจสุขภาพใจได้ที่ Mental Health Check In (https://checkin.dmh.go.th/)
นายแพทย์จุมภฏ พรมสีดา รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า เมื่อรู้เท่าทันอารมณ์ตนเอง การปรับจิตใจเพื่อให้กลับสู่ภาวะปกติ คือสิ่งที่ต้องรีบดำเนินการด้วยเช่นกัน เพราะหากยังคงมีอารมณ์โกรธรุมเร้าถึงแม้ไม่แสดงออก แต่ก็สามารถส่งผลต่อสุขภาพจิตของตนเอง เพราะความโกรธนำไปสู่ความเครียดสะสม ซึ่งวิธีจัดการความโกรธ ประกอบด้วย
1.ตั้งสติ มีสติอยู่ตลอดเวลา
2.ประเมินหรือเช็คอินความรู้สึกโกรธของตนเอง โดยสังเกตอาการของร่างกายและอารมณ์เช่น หัวใจเต้นแรงขึ้น กล้ามเนื้อเริ่มเกร็ง เหงื่อไหล หน้าแดงหรือรู้สึกร้อน 3.หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ มีสติอยู่กับลมหายใจ
4.นับเลข 1 - 10......... -100 เพื่อปล่อยใจให้จดจ่อเรื่องอื่นแทน
5.ให้พักหรือหยุดการเผชิญหน้าชั่วคราว
6.ใช้อารมณ์ขันหรือนึกถึงเรื่องราวที่สนุกสนานดับความโกรธ
7.หาทางระบายออก เช่น พูดระบายกับคนที่พร้อมจะรับฟัง ออกกำลังกาย
8. ถ้าคิดอะไรไม่ทัน ให้เดินหลบออกมา ซึ่งไม่ได้หมายความว่าแพ้ แต่คือคนชนะที่คุมใจตัวเองได้
9. เมื่อหายโกรธ ให้ทบทวนเหตุการณ์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง
นายแพทย์บุรินทร์ สุรอรุณสัมฤทธิ์ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า การควบคุมอารมณ์ คือการกระทำที่ตั้งใจเปลี่ยนความรุนแรงทางอารมณ์ในขณะที่เกิดขึ้น ให้มีอารมณ์หรือความรู้สึกที่เบาบางลง สำหรับบางคนสามารถควบคุมอารมณ์ได้ดีกว่าคนอื่นๆ เพราะมีความฉลาดทางอารมณ์สูง แต่บางคนก็มีการควบคุมอารมณ์ที่ยากยิ่ง ทำให้บางครั้งการมีอารมณ์ในแง่ลบ โกรธ โมโห ทำให้เกิดการเตลิด และนำไปสู่ผลลัพธ์ที่เลวร้าย หากต้องการปรึกษาปัญหาการควบคุมอารมณ์โกรธ มีช่องทางหลายวิธี ได้แก่สายด่วนสุขภาพจิต 1323 และยังมีบริการอีกหลากหลายจากภาคีเครือข่ายทางสุขภาพจิตอื่นๆ ได้แก่ แอปพลิเคชันอูก้า (Ooca) แหล่งกำลังใจที่เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้เยาวชนและชุมชนในกรุงเทพฯ หรือแม้แต่การให้คำปรึกษาและรับฟังจากจิตอาสา ผ่านแอปพลิเคชัน Sati App ได้อีกช่องทางอีกด้วย
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
|
|
|
แจ้งลบกระทู้นี้
อ่าน 175 |
|
แสดงความคิดเห็น |
โดย คนข่าว
IP: Hide ip
, วันที่ 09 มิ.ย. 67
เวลา 11:32:46
|