• หลักฐานมัดทนายยัด 2 ล้าน |
โพสต์โดย ตนข่าว , วันที่ 13 มิ.ย. 51 เวลา 11:57:15 IP: Hide ip |
กด like เพื่อติดตามข่าวสารดีๆ จาก cmprice.com VVVVVV
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
© เนื้อหาข่าว/กระทู้
ระบุเอาไปแบ่งกันเล่นงานข้อหาหนักละเมิดอำนาจศาล
แฉหลักฐานมัดตัวแน่น อดีตทนายความนักการเมือง ใจถึงหิ้วถุงขนมใส่เงิน 2 ล้านบาท มาให้เจ้าหน้าที่ศาลฎีกา ระบุ “เอาไปแบ่งๆกัน !” โชคดีวันเกิดเหตุผู้พิพากษาผ่านมาเห็น สั่งบันทึกภาพทั้งเงินสด-ถุงขนมเอาไว้แล้ว ขณะที่องค์คณะศาลฎีกา เริ่มไต่สวนข้อเท็จจริง สอบเป็นการภายในบุคคลที่เกี่ยวข้องเหตุการณ์ทั้งหมด มั่นใจ 1 สัปดาห์รู้ผล ศาลไม่เชื่อเป็นเงินล้มคดี แต่ต้องการแสดงความหน้าใหญ่ หว่านเงินให้เจ้าหน้าที่ใช้เล่นๆมากกว่า เตรียมเล่นข้อหาละเมิดอำนาจศาล ขณะที่ทนาย “ทักษิณ” ออกโรงโต้ทันควัน เผยแค่คิดยังไม่กล้า ยอมรับวันเกิดเหตุไปศาลฎีกาจริง นำทีมทนายไปยื่นคำร้องให้ลูกพี่ ยื่นคำร้องรายงานตัวไม่ถึง 30 นาที
กรณีมีผู้นำถุงขนมและซุกเงินจำนวน 2 ล้านบาทไปให้เจ้าหน้าที่ภายในศาลฎีกา สนามหลวง เมื่อวันที่ 10 มิ.ย.ที่ผ่านมา แต่เจ้าหน้าที่ไม่มีใครกล้ารับพร้อมส่งคืนให้ หลังเกิดเรื่องดังกล่าวนายวิรัช ลิ้มวิชัย ประธานศาลฎีกา ได้มีคำสั่งแต่งตั้งองค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกา 3 คนขึ้นไต่สวนข้อเท็จจริง ความคืบหน้าเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. ที่สำนักงานศาลยุติธรรม ถนนรัชดา ภิเษก นายสราวุธ เบญจกุล รองเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม เปิดเผยว่า ขณะนี้ผู้พิพากษาระดับสูงทั้ง 3 คนรับทราบคำสั่งดังกล่าวแล้ว โดยจะเริ่มดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงกับบุคคลที่เกี่ยวข้องต่อไป
สำหรับผู้พิพากษาศาลฎีกา 3 คนที่ได้รับแต่งตั้งเป็นองค์คณะไต่สวนข้อเท็จจริง ประกอบด้วย 1.นายมงคล ทับเที่ยง รองประธานศาลฎีกา 2.นายวีระพล ตั้งสุวรรณ และ 3.นายอิศเรศ ชัยรัตน์ ผู้พิพากษาศาลฎีกา โดยจะเริ่มดำเนินการไต่สวนบุคคลที่เกี่ยวข้องในวันที่ 13 มิ.ย.นี้ เบื้องต้นจะไต่สวนเจ้าหน้าที่ศาลฎีกาที่อยู่ในเหตุการณ์หรือเห็นเหตุการณ์ก่อน หากพาดพิงถึงใครก็เรียกตัวมาไต่สวนต่อไป ซึ่งบุคคลที่จะถูกไต่สวนยังไม่ทราบจำนวนที่แน่ชัด ทั้งนี้การ ไต่สวนบุคคลภายในศาลฎีกาจะกระทำเป็นการภายในจะไม่เปิดบัลลังก์ไต่สวน แต่หากเป็นบุคคลภายนอกที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ศาลจะเปิดบัลลังก์ไต่สวน ส่วนจะเปิดโอกาสให้บุคคลภายนอกที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าฟังการไต่สวนหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับดุลพินิจขององค์คณะ เพราะองค์คณะอาจจะมีคำสั่งให้พิจารณาลับก็ได้ คาดว่าจะไต่สวนแล้วเสร็จภายในสัปดาห์หน้า
ส่วนที่ศาลฎีกา สนามหลวง วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจากผู้พิพากษาชั้น ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งว่า หลังจากที่นายวิรัช ประธานศาลฎีกา ได้ตั้งองค์คณะไต่สวนข้อเท็จจริงแล้ว ขณะนี้ได้มีการสรุปข้อเท็จจริงเบื้องต้นเป็นข้อมูลประกอบการไต่สวนลำดับเหตุการณ์ดังนี้ เวลา ประมาณ 12.30 น. วันที่ 10 มิ.ย. ได้มีอดีต ทนายความของนักการเมืองคนหนึ่งมายื่นคำร้องและยื่นถุงขนมให้เจ้าหน้าที่ เมื่อเจ้าหน้าที่เปิดดูพบเงินสดจึงสอบถามว่ามีความประสงค์อย่างไร อดีตทนายความตอบว่า “เอาไปแบ่ง ๆ กัน!” เจ้าหน้าที่จึงรายงานผู้บังคับบัญชาและผู้พิพากษาทราบ
ขณะเกิดเหตุมีผู้พิพากษาท่านหนึ่ง เดินผ่านมาจึงได้สอบถามเรื่องราวเบื้องต้นแล้วสั่งให้ถ่ายภาพธนบัตรกับถุงขนมหูหิ้วเอาไว้เป็นหลักฐานก่อนจะส่งถุงขนมใส่เงินคืนแล้วให้กลับไปได้ ซึ่งมีประเด็นน่าจะเป็นไปได้ อาทิ เป็นการเสนอให้เงินแก่เจ้าหน้าที่ไม่เจาะจงว่าเป็นคนหนึ่งคนใด โดยใช้เงินจำนวนมากเป็นเครื่องสะท้อนของความใจใหญ่เพื่อให้เจ้าหน้าที่เกิดความสนใจที่จะช่วยเป็น “สื่อกลาง” ไปถึงตัวผู้พิพากษา ต้องการโยนหินถามทางโดยหยั่งเชิงดูว่าจะมีใครกล้ารับสินบนหรือไม่ หรืออาจต้องการสร้างเรื่องขึ้นมาเพื่อทำลายชื่อเสียงความน่าเชื่อถือของศาลยุติธรรม
“การที่ผู้พิพากษาคืนเงินกลับไปนั้น ส่วนตัวแล้วผมเห็นว่าเป็นการกระทำที่ถูกต้องเพราะหลังจากถ่ายรูปทำหลักฐานส่งให้ประธานศาลฎีกาย่อมดีกว่าปล่อยให้เจ้าหน้าที่เก็บเงินไว้แล้วเรื่องมาแดงภายหลัง เรื่องนี้คาดว่าจะมีการดำเนินคดีฐานละเมิดอำนาจศาลอย่างแน่นอน”
ด้านนายเกรียงชัย จึงจตุรพิธ ประธานแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกา ให้ความเห็นว่า พอทราบข่าวนี้ตนรู้สึกประหลาดใจว่าทำไมถึงกล้าเอาเงินมาฝากเจ้าหน้าที่ถึงบนศาลและเป็นเงินมากถึง 2 ล้านบาท ถ้าให้เจ้าหน้าที่ก็นับว่ามากไป แต่เจ้าของเงินก็อาจจะมองว่าเป็นเงินเล็กน้อย เมื่อเจ้าหน้าที่ เปิดดูเห็นเงินก็ตกใจทำอะไรไม่ถูกเลยแจ้งผู้พิพากษามาดู เรื่องนี้ถ้าตนรู้เรื่องตนจะลงมาดูเองและจะไม่ปล่อยให้เอาเงินกลับไป แต่จะดำเนินคดีละเมิดอำนาจศาลไว้ก่อน คดีนี้เท่าที่ทราบคนที่นำเงินมาเป็นอดีตทนายความคดีหนึ่ง
ผู้สื่อข่าวถามว่า คนให้เงินต้องการใช้เงินหว่านเพื่อดูใจว่าจะมีเจ้าหน้าที่คนใดสนใจ เป็นสื่อกลางพาจำเลยไปคุยกับผู้พิพากษาได้หรือไม่ นายเกรียงชัยตอบว่า ไม่น่าเป็นไปได้ ใครที่คิดทำแสดงว่าไม่เข้าใจระบบงานของศาลฎีกาฯ เพราะเจ้าหน้าที่ไม่สามารถเป็นคนกลางติดต่อผู้พิพากษาให้เปลี่ยนแปลงดุลพินิจได้
ขณะเดียวกันผู้สื่อข่าวได้ติดต่อสัมภาษณ์นายพิชิฏ ชื่นบาน ทนายความส่วนตัวของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวยืนยันว่า ทีมทนายความไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าวอย่างแน่นอนเพราะที่ผ่านมาทางศาลฎีกาฯ ก็ให้ความเป็นธรรมแก่ฝ่ายจำเลยในการให้โอกาสต่อสู้คดีอย่างเป็นธรรมจึงไม่ทราบว่าทำไมถึงมีการเชื่อมโยงเรื่องนี้ได้อย่างไร และมั่นใจ ว่าองค์คณะไต่สวนข้อเท็จจริงที่ศาลตั้งขึ้นนั้นจะสามารถตรวจสอบข้อเท็จจริงได้ ในวันที่ 10 มิ.ย. ผมและคณะทนายความได้รับมอบหมายจาก พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ให้ไปยื่นคำร้องเพื่อรายงานตัวต่อศาลฎีกาตามคำสั่งศาลหลังจากเดินทางกลับจากต่างประเทศ ทางทีมทนายได้ใช้เวลานานไม่เกิน 30 นาที
“ผมยืนยันว่าไม่มีใครในทีมทนายนำกล่องขนมติดตัวหรือไปมอบให้เจ้าหน้าที่จึงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ เราไม่จำเป็นที่จะต้องทำแบบนั้น แค่คิดผมยังไม่คิดเลย เจ้าหน้าที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงรูปคดีได้ ที่ผ่านมาทีมทนายความก็ได้ประเมินว่าคดีที่ดินรัชดาฯ ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกกล่าวหาจาก คตส. มาถึงชั้นศาลเรามั่นใจว่าสามารถชี้แจงได้และเชื่อมั่นว่าองค์คณะผู้พิพากษาจะให้โอกาสแก่จำเลยในการสู้คดีโจทก์ได้อย่างเต็มที่”
นายพิชิฏ กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีที่มีการระบุว่าเป็นเงินที่ให้เจ้าหน้าที่ก็ไม่ใช่ความจริง เพราะการพิจารณาคดีในชั้นศาลฎีกาฯ เป็นระบบไต่สวน ตามระบบก็เอื้ออำนวยความยุติธรรมที่ให้ทนายฝ่ายจำเลยสามารถประสานงานกับเจ้าหน้าที่เพื่อขอคัดถ่ายสำนวนหรือเอกสารสำคัญในทางคดีได้เพื่อให้มีการต่อสู้บนชั้นศาลอย่างเต็มที่อยู่แล้ว จึงไม่เกี่ยวข้องกับการที่มีการนำเงินไปให้แต่อย่างใด
ด้าน น.ส.รสนา โตสิตระกูล ส.ว. กรุงเทพฯ เปิดเผยว่า จะต้องมีการตรวจสอบรายละเอียดให้มากขึ้น เพราะว่าตอนนี้การใช้กลอุบายต่าง ๆ อาจจะมีเยอะและก็ไม่ทราบว่าเป็นประเด็นในการดิสเครดิตหรือไม่ แต่ต้องตั้งคำถามเช่นกันว่าปกติแล้วเขาเอาเงินใส่กล่องขนมไปให้กับศาลได้ง่ายอย่างนี้หรือเคยมีเหตุการณ์เช่นนี้หรือไม่ เมื่อถามว่ามีความเป็นห่วงว่าจะเป็นการวิ่งเต้นช่วยเหลือคดี น.ส.รสนา ตอบว่า เป็นคำถามที่ต้องหาว่ามีข้อเท็จจริงหรือไม่ แต่คิดว่าสังคมและสื่อต้องให้รายละเอียดกับสิ่งที่เกิดขึ้นมาก ๆ คงไม่ใช่ตีความหรือดิสเครดิตไปเลย
ที่โรงแรงดุสิตธานี ช่วงหัวค่ำวันเดียวกัน นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา โฆษกประจำตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ให้สัมภาษณ์ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ยืนยันมาโดยตลอดเวลาว่ายินดีจะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมและได้รับทราบเรื่องที่เกิดขึ้นดังกล่าวแล้ว พร้อมเห็นด้วยที่ศาลดำเนินการสอบเรื่องนี้อย่างจริงจังเพื่อทำความจริงให้ปรากฏ.
ที่มา เดลินิวส์
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
|
|
|
แจ้งลบกระทู้นี้
อ่าน 1422 |
|
แสดงความคิดเห็น |
โดย ตนข่าว
IP: Hide ip
, วันที่ 13 มิ.ย. 51
เวลา 11:57:15
|