• เขมรวุ่น! ใบปลิวโจมตีไทย กล่าวหาละเมิดดินแดนเขาพระวิหาร |
โพสต์โดย ตนข่าว , วันที่ 27 มิ.ย. 51 เวลา 13:43:35 IP: Hide ip |
กด like เพื่อติดตามข่าวสารดีๆ จาก cmprice.com VVVVVV
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
© เนื้อหาข่าว/กระทู้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศที่ประเทศกัมพูชา ปรากฎว่ามีใบปลิวกล่าวหาประเทศไทยแพร่หลายไปทั่วประเทศ เกี่ยวกับการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร โดยระบุว่ามาจากสภาเฝ้าระวังกัมพูชา หรือ Cambodia Watchdog Council International เรื่องการสูญเสียบูรณภาพดินแดน พื้นที่หมายเลข 3 ปราสาทเขาพระวิหาร
ระบุว่า อ้างถึงประกาศร่วมระหว่างกัมพูชา-ไทย ลงวันที่ 18 มิถุนายน 2008 โดยรองนายกรัฐมนตรีกัมพูชา นายซก อาน กับนายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีต่างประเทศของไทย และนาง Francoise Riviere รองผู้อำนวยการกิจการวัฒนธรรมองค์การยูเนสโก ว่าด้วยการเสนอขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก และแผนที่ใหม่ที่รัฐบาลกัมพูชาส่งไปให้กับองค์การยูเนสโก เราสังเกตเห็นว่า บูรณภาพดินแดนกัมพูชาในส่วนทิศตะวันตก และทิศเหนือของตัวปราสาท (พื้นที่หมายเลข 3) ได้สูญเสียไป
ดูเหมือนว่ารัฐบาลกัมพูชากำลังตกหลุมพรางของประเทศไทย โดยเสนอขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเฉพาะตัวปราสาท และบริเวณโดยรอบตัวปราสาทห่างออกมาเพียง 30 เมตรเท่านั้น โดยไม่ได้ผนวกพื้นที่ในส่วนของหมายเลข 3 เข้าไปด้วย
จากประสบการณ์ที่เราเคยไปเยี่ยมชมปราสาทเขาพระวิหารมา 2 ครั้ง ในปี 2001 และ 2004 พร้อมกับกลุ่มนิสิตจากมหาวิทยาลัยต่างๆ ในกรุงพนมเปญ เราเห็นว่ารัฐบาลกัมพูชากำลังทำให้เราสูญเสียดินแดนไปให้กับประเทศไทย ในการยอมรับข้อเสนอให้เขียนแผนที่ขึ้นมาใหม่ และจากการที่ไม่ยอมผนวกเอาพื้นที่หมายเลข 3 ว่าเป็นดินแดนของกัมพูชา ซึ่งพื้นที่ตรงนี้จะเป็นเส้นทางที่นักท่องเที่ยวจะขึ้นไปชมปราสาทเขาพระวิหารจากฝั่งประเทศกัมพูชา เนื่องจากพื้นที่หมายเลข 2 นั้น เป็นพื้นที่ลาดชันมากจนไม่สามารถที่จะขึ้น-ลง ได้
ตามเอกสารของนายดี แกเร็ตต์ รองประธานคณะอนุกรรมาธิการพรมแดนกัมพูชาบอกให้ทราบว่า เมื่อปี 1962 ศาลโลก ณ กรุงเฮก ได้กำหนดใช้แผนที่ในกรณีปราสาทเขาพระวิหารขนาด 1 / 2,000 ซึ่งได้เก็บรักษาไว้ที่ศาลโลก และในสนธิสัญญาฝรั่งเศส-เซียม ปี 1904 และ 1907 ได้แจงไว้อย่างชัดเจนเกี่ยวกับพรมแดนทางบก และพรมแดนทางน้ำ ระหว่างประเทศกัมพูชา-ไทย โดยเฉพาะดินแดนตรงพื้นที่หมายเลข 3 นั้น เป็นของแขมร์อย่างแน่นอน ซึ่งตรงกันข้ามกับการกล่าวอ้างของชนชาติไทยบางส่วนที่ว่า เส้นแบ่งพรมแดนตรงปราสาทเขาพระวิหารนั้น อยู่ตรงหน้าบันไดขึ้นปราสาท
ผมเห็นด้วยที่ว่า องค์การยูเนสโกทำงานเฉพาะแต่ที่เกี่ยวกับการดูแลรักษาสมบัติวัฒนธรรมเท่านั้น แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธคำตัดสินของศาลโลกในปี 1962 ว่าด้วยปราสาทเขาพระวิหาร และบริเวณโดยรอบได้ โดยมีสนธิสัญญาฝรั่งเศส-เซียม ปี 1904 และ 1907 โดยเฉพาะการผนวกพื้นที่หมายเลข 3 เข้าไปด้วย ถ้าไม่เช่นนั้น กัมพูชาก็จะสูญเสียดินแดนไปให้กับประเทศไทยอย่างแน่นอน
ผมสังเกตเห็นว่า ประเทศไทย ไม่เคยที่จะกล้ารุกล้ำต่อบูรณภาพดินแดนของประเทศมาเลเซีย และประเทศพม่าเลยสักครั้ง เนื่องเพราะว่ารัฐบาลของประเทศทั้งสอง มีความตั้งใจในอันที่จะปกป้องบูรณภาพดินแดนของตนสูงมาก จะมีก็แต่ประเทศกัมพูชาเท่านั้น ที่ประเทศไทยมักจะล่วงละเมิดต่อบูรณภาพดินแดนอยู่เนืองๆ และอีกอย่าง กรณีปราสาทเขาพระวิหารนี้ประเทศไทยไม่เคยที่จะกล้าเรียกร้องอย่างเป็นทางการบนเวทีโลกเลย แต่เขาก็มีความฝังใจในอันที่จะหาเรื่องประเทศกัมพูชาอยู่ตลอดมา นั่นแสดงให้เห็นว่า ประเทศไทยมีเจตนารุกรานบูรณภาพดินแดนแขมร์ และปิดกั้นลมหายใจทางเศรษฐกิจของกัมพูชาที่มีรายได้มาจากด้านการท่องเที่ยว โดยเฉพาะที่ปราสาทเขาพระวิหารแห่งนี้
ผมขอให้คำชี้แนะต่อรัฐบาลกัมพูชาว่า ถ้ารัฐบาลยังคงมีเจตนารมณ์ที่จะขอขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเข้าเป็นมรดกโลกในฐานะประชาชาติที่มีเอกราช และมีความรักชาติ รัฐบาลต้อง 1.ขอแผนที่ใหม่คืน แล้วเอาแผนที่ที่ศาลโลกใช้มาเสนอขอขึ้นทะเบียนปราสาทแทน 2.เสนอขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกเพียงลำพังฝ่ายเดียว
มติชนออนไลน์
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
|
|
|
แจ้งลบกระทู้นี้
อ่าน 1215 |
|
แสดงความคิดเห็น |
โดย ตนข่าว
IP: Hide ip
, วันที่ 27 มิ.ย. 51
เวลา 13:43:35
|