"ยงยุทธ-สมพงษ์"เข้าพบสมชายคาดหารื กรณีผบ.ทบ. กล่าวผ่านช่อง3 คิดให้สมชายลาออก ลั่น "ถ้าเป็นผมลาออกไปแล้ว เพื่อรับผิดชอบสลายม็อบทำประเทศชาติเสียหาย" สมชาย"ยันทำงานต่อไปอาจเรียก"อนุพงษ์"หารือคืนนี้ “ชัย” รับเป็นเจ้าภาพฟ้อง พันธมิตรปิดล้อมสภา แต่โยนเผือกร้อนให้ เลขาธิการสภา เข้าแจ้งความ
เมื่อเวลา 17.15 น.วันที่ 16 ตุลาคม พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ในรายการข่าว “เรื่องเด่นเย็นนี้” ทางช่อง 3 ช่วง “จับประเด็นร้อน” โดยมี นายสรยุทธ์ สุทัศนะจินดา เป็นผู้ดำเนินการรายการถึงเหตุการณ์หลังจากสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรที่ปิดล้อมรัฐสสภาเมื่อ วันที่ 7 ตุลาคมว่า
ยอมรับว่ามีความคิดให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ลาออก เพราะเชื่อว่าจะทำให้สถานการณ์บ้านเมืองดีขึ้นและเป็นการแสดงความรับผิดชอบ ถ้าเป็นตนลาออกไปแล้วเพราะทำให้ประเทศชาติเสียหายขนาดนี้
ผบ.ทบ.กล่าวว่า อยากเสนอสังคมว่า ถ้าเรายังเป็นฝักฝ่ายก็จะเกิดวิกฤติไม่มีทางจะจบได้ ประเทศจะล่มจม ทางออกของประเทศชาติ คนไทยต้องอยู่ร่วมกัน ความคิดเห็นก็แตกต่างได้ แต่ต้องมีจุดที่อยู่ร่วมกันได้ คนไทยต้องผ่านวิกฤตินี้โดยไม่แบ่งฝักแบ่งฝ่าย
เขากล่าวต่อว่ามีการเรียกร้องให้กองทัพ ออกมาว่าถ้าปฏิวัติทำให้ปัญหาจบได้ ก็ต้องพิจารณาร่วมกันทุกภาคส่วน แต่ทุกวันนี้พูดได้ว่าตนติดต่อสื่อหลายส่วนและลงความเห็นว่าไม่เห็นด้วย รวมถึงนักวิชาการก็ลงความเห็นว่าไม่เห็นด้วย ทำแล้วประเทศชาติจะยิ่งเสียหาย
ส่วนจะแก้ด้วยวิธีใดยืนยันว่าทั้งสองฝ่ายต้องคุยหาจุดร่วมกันให้ได้ ส่วนกองทัพจะเลือกฝ่ายไม่ได้ โดยเฉพาะขณะนี้มีการเรียกร้องให้อยู่ฝ่ายนั้นฝ่ายนี้ ถ้าเลือกฝ่ายประเทศชาติจะวิบัติ
เมื่อถามว่าทำไมทหารไม่ออกมาเมื่อเห็นภาพ ตอนเช้า 7 ต.ค. พล.อ.อนุพงษ์กล่าวว่าการชุมนุมมีตั้งร้อยกว่าวันและกองทัพทำงานร่วมกับตำรวจ ตลอดมา และยืนยันไม่เคยมีเหตุการณ์รุนแรง ยกเว้น 2 ครั้ง ยืนยันว่าไม่ใช่ความคิดริเริ่มของตร.และกองทัพ ไม่ว่าจะเป็นวันที่ติดหมาย
ตนเรียนให้ทุกคนทราบว่ากรณีฉุกเฉินเป็นเหตุการณ์ที่มีการปะทะกัน และมอบให้ตนเป็นผู้รักษาความสงบเรียบร้อยและเห็นแล้วว่าวันที่ปิดหมายทำให้ เกิดผลกระทบมากมาย ถ้าตัดสินใจทำไป นอกจากจะไม่จบแล้วปัญหาจะบานปลาย
"ส่วนเหตุวันที่ 7 ต.ค. กองทัพไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย กองทัพมองว่าเป็นการสั่งการจากรัฐบาลไปยังตร.จะถูกผิดอย่างไรเราคงไม่ไปพูด ถึง เพราะเกี่ยวข้องกับความชอบธรรม"
เมื่อถามว่ารู้กี่ชั่วโมงก่อนสลาย เพราะก่อนหน้านี้มีการประชุมครม.กลางดึก พล.อ.อนุพงษ์กล่าวว่า "เรื่องไปประชุม ตนไม่ทราบ คุยกับ ผบ.ตร.ว่าจะไม่ทำอะไร เฉยๆ และไม่รู้ว่าเขาไปประชุมอะไรกัน เพราะไม่ใช่ตัวผม แต่เป็นกองทัพทั้งกองทัพ กองทัพจะอยู่กับประชาชน
แม้จะให้อำนาจมาเต็มๆก็ไม่ทำ เช้าวันนั้นพอเกิดเหตุการณ์ก็ติดตามสถานการณ์ ไม่ทราบว่าผลจะรุนแรงขนาดนั้น และเป็นการสั่งการของรัฐบาล ถ้าย้อนไปได้ก็จะทำไปห้ามตั้งแต่แรก การจะเอากำลังทหารออกไป จะออกไปสถานภาพใด หากสูญเสียมากกว่าเดิมจะทำอย่างไร ซึ่งได้พูดคุยกับเหล่าทัพ และหารือกับ ผบ.สส.และแจ้งไปยัง ผบ.ตร.ว่า
เราไม่เห็นด้วย ถามว่าเสียใจหรือไม่ ก็เสียใจ ถ้าห้ามได้ก็จะห้ามแต่แรก แต่ถ้าออกไปก็จะสุ่มเสี่ยงทำให้ยากกว่าเดิมเกิดการต่อสู้ระหว่างทหารและ ตำรวจ หากมีการปะทะกันก็จะสูญเสียเพราะมีการใช้อาวุธ และสถาบันทหารกับตำรวจก็จะแตกแยกอีกนาน"
"น้องโบว์เป็นทรัพยากรของประเทศ มีคุณค่าต่อชาติ หากย้อนกลับไปได้ตำรวจก็คงไม่ทำ ผมยืนยันว่าทุกครั้งตำรวจก็พูดเช่นนี้" ผบ.ทบ. กล่าว
เขากล่าวว่าเรื่องความรับผิดชอบ เป็นเรื่องกระทบ แต่เรื่องที่ตามมาคนในสังคมรับไม่ได้เกิดเป็นกระแสขึ้นมา ลุกลามไปถึงตำรวจ และหมอ ตนคิดว่าจะจบได้ต้องมีคนรับผิดชอบไม่ว่าระดับนโยบายหรือสั่งการ น่าจะสร้างความพึงพอใจให้ประชาชนได้
"ถ้ารัฐบาลสั่งเองเต็มๆ จากการสอบสวนต้องรับผิดชอบ ผมว่ากระแสคนในชาติ คนไม่ยอม ปั่นป่วน แต่ไม่ใช่บีบคั้นให้ออก แต่ต้องรับผิดชอบบนกองเลือด อยู่อย่างไรก็อยู่ไม่ได้ ไม่ใช่ว่าจงเกลียดจงชัง ชอบไม่ชอบ ถ้าผมเป็นนายกฯ ก็ออกแล้วไม่รู้ว่าจะอยู่ทำไม"
ถามว่าเรียกว่ากดดันรัฐบาลหรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์กล่าวว่า "สังคมจะทำเอง ไม่ทราบว่าเรียกว่ากดดันหรือไม่ แต่สังคมรับไม่ได้ ไม่มีทางจะจบได้"
เมื่อนายสุรยุทธ์ถามผบ.สส. ในประเด็นเดียวกัน ผบ.สส.กล่าวว่า "กองทัพมี 3 เหล่า บก เรือ อากาศ สิ่งที่ ทบ.พูด กองทัพพูด อีกความหมายคือ ทบ.และทอ.เห็นด้วยเป็นหนึ่งเดียว"
ถามว่างานศพมีการให้เงิน 50 ล้าน ผบ.ทบ.กล่าวว่า ด้วยตัวตนไม่มีทางทำอะไรเช่นนั้น ผมไม่รับเงินทรัพย์สมบัติจากใคร งานศพของคุณแม่ ผมและครอบครัวได้รับพระบรมราชานุเคราะห์
เงินที่มาร่วมทำบุญมีจำนวนหนึ่ง ก่อนบรรจุมี 5 ล้าน คนที่รับไปคือพี่สาวที่ทำบัญชีและมอบเงินทำบุญให้รพ.พระมงกุฏ ส่วนวันเผาเหลืออีกล้านเศษก็มอบให้วัด ยืนยันด้วยเกียรติว่าไม่มีเช่นนั้น
ถามว่าสนิทกับครอบครัวชินวัตรหรือ ไม่ พล.อ.อนุพงษ์กล่าวว่า "ผมกับครอบครัวชินวัตร มีบุคคลที่รู้จักคนเดียวคือ ทักษิณ ผมไม่เคยคุยกับคุณหญิงพจมาน ส่วนภรรยาผมก็ไม่เคย ยิ่งลุกสาว ลูกชขาย ไม่เคยรู่จักตระกูลชินวัตร
แม้จะพูดคุยก็ไม่เคย ที่เรียนปริญญาโทก็มีปีเดียว ไม่รู้จักใคร และลูกผู้หญิงคนเดียวไปอยู่ที่โน่นต้องรักษาตัวไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร ถ้าทำให้เสียเกียรติ สังคมก็เริ่มต้นที่จะเป็นด้วยยาก ไม่น่าที่จะรับได้
พล.ต.อ.พัชรวาท วงศ์สุวรรณ ผบ.ตร. กล่าวว่า ตนไม่มีอะไรจะแก้ตัว เท่าที่ดูการใช้แก๊สน้ำตาไม่ทำให้มีผู้บาดเจ็บ แต่กรณีที่เกิดขึ้นคงต้องไปดู และเอาผู้เชี่ยวชาญมาดูทั้งของจีน และสหรัฐ มาดูอีกครั้ง
ขอบคุณเนื้อหาข่าวจาก