กด like เพื่อติดตามข่าวสารดีๆ จาก cmprice.com VVVVVV
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
© เนื้อหาข่าว/กระทู้
<<< คำพูดออกทีวีคืน 31 กค 2546 >>>
วิกฤตเศรษฐกิจเมื่อปี 2540
ทำให้ไทยต้องกู้ยืมเงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ(ไอเอ็มเอฟ)
พร้อมกับยอมรับเงื่อนไขที่เข้มงวด
ซึ่งเป็นบทเรียนที่เจ็บปวดและไม่อยากกลับไปอยู่ในสภาพนั้นอีก
ปัจจุบันเศรษฐกิจดีขึ้นโดยลำดับ
เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม
รัฐบาลนี้ได้ประกาศชำระหนี้ก้อนสุดท้ายกว่า 6 หมื่นล้านบาท
ทำให้ไทยพ้นจากพันธกรณีกับไอเอ็มเอฟ
สามารถดำเนินนโยบายเศรษฐกิจเป็นของตนเอง
หมายเหตุ - เมื่อเวลา 20.30 น. วันที่ 31 กรกฎาคม
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
ได้ชี้แจงทางสถานีโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย
เกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจ สถานะการเงิน-การคลังของประเทศไทย
รวมทั้งการชำระหนี้งวดสุดท้ายให้กับ
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ(ไอเอ็มเอฟ)
ซึ่งสามารถชำระก่อนครบกำหนด 2 ปี มีรายละเอียดดังนี้
วันนี้เป็นวันที่ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ชำระหนี้ก้อนสุดท้าย
เมื่อเย็นวันนี้ ได้ชำระก้อนสุดท้ายคืนไอเอ็มเอฟจำนวน 6 หมื่นกว่าล้านบาท
ซึ่งได้กู้ยืมมาในช่วงเกิดวิกฤตเมื่อปี 2540
โดยไอเอ็มเอฟอนุมัติวงเงินให้ไทย 14,500 ล้านเหรียญสหรัฐ
แต่เบิกมาใช้จริงเพียง 12,296 ล้านเหรียญสหรัฐ
หรือประมาณ 5.1 แสนล้านบาท
โดยรัฐบาลชุดที่แล้ว(รัฐบาลนายชวน หลีกภัย)
ได้ชำระไป 1 หมื่นล้านบาท
แต่รัฐบาลนี้ได้ชำระครบทั้ง 5 แสนล้านบาท
ทำให้ไทยพ้นจากพันธกรณีกับไอเอ็มเอฟ
ประเทศไทยเคยเข้าโปรแกรมของไอเอ็มเอฟมาแล้วหลายครั้ง
คือ เมื่อปี 2524, 2525, 2528 ทั้ง 3 สัญญาเป็นเงิน 982 ล้านเหรียญสหรัฐ
ใช้หมดเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2533 แต่หลังจากนั้น 7 ปี
เกิดวิกฤตอีกครั้ง เป็นวิกฤตที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรง
ถ้าวิเคราะห์แล้ว
วิกฤตที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความผิดของรัฐบาลใดหรือคนใดคนหนึ่ง
แต่เป็นการสะสม ที่เราไม่ได้ติดตามสถานการณ์
ไม่ได้เรียนรู้การเปลี่ยนแปลงของโลก
ไม่ได้ใช้ข้อมูลอย่างชาญฉลาด
ไม่ได้รับรู้ของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
เหตุการณ์นี้จะไม่เกิดอีก
ครั้งนี้ขอให้เป็นครั้งสุดท้าย
ที่ต้องเข้าโปรแกรมของไอเอ็มเอฟ
รัฐบาลนี้พยายามแก้ไขปัญหาหลายๆ อย่าง
เพื่อให้เกิดความมั่นคง ดูทิศทางทุกอย่างไม่ให้เกิดปัญหาอีก
เชื่อว่า ในปี 2540 จนถึงวันนี้
ยังมีหลายคนยังไม่หายเจ็บปวด บาดเจ็บอยู่
เป็นบทเรียนของหลายคนในประเทศ ต้องร่วมคิดร่วมกันแก้ปัญหา
ประเทศต้องติดตามการเปลี่ยนแปลงของโลกอย่างใกล้ชิด
ไม่ให้เป็นเหยื่อของการแข่งขันทุนนิยมที่เราไม่รู้เท่านั้น
รัฐบาลจะทำอย่างเต็มที่
เพื่อวางกติกา วางระบบ และพัฒนาทุกๆ อย่าง
เพื่อให้เรารู้เท่าทันได้อย่างทันท่วงที
วันนี้ ทำไมเรากล้าใช้หนี้ไอเอ็มเอฟ
ก่อนครบกำหนดเวลาล่วงหน้าถึง 2 ปี
ก็เพราะเราสามารถปรับพลิกสถานการณ์ได้แล้ว
และมีเงินทุนเพียงพอ ไม่ต้องเก็บหนี้ไว้
การใช้หนี้ครั้งนี้ทำให้ประหยัดดอกเบี้ยถึง 5 พันล้านบาท
และยังสร้างความเชื่อมั่นต่อประเทศไทยมากขึ้น
ตั้งแต่รัฐบาลนี้เข้ามา มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจหลายสาขา
ภาคเกษตร รายได้เกษตรกรจากพืชผลเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เมื่อปลายรัฐบาลที่แล้ว รายได้ติดลบ 3.4%
ปี 2544 เพิ่มขึ้น 8.1%
ปี 2545 เพิ่ม 11.7%
ในปี 2546 เพิ่มขึ้น 25%
ในภาคอุตสาหกรรม ปี 2544 ติดลบ
ในปี 2545 เพิ่มขึ้นมา 59.5%
ครึ่งปีแรกของปี 2546 เพิ่มขึ้นถึง 66.6%
ตัวเลขมีความชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ
ส่วนที่อัตราการว่างงานปี 2546 มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง
ส่วนการส่งออกดีขึ้นมาก ปี 2544 ติดลบ 1.7%
เพราะเหตุการณ์ 11 กันยายน ในสหรัฐอเมริกา
ส่วนปี 2545 สามารถเติบโตได้ 5.7%
ปีนี้เพียงครึ่งปีแรก โตได้ถึง 19%
ส่วนกำไรสุทธิของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์
ปี 2543 มีกำไร 4.15 หมื่นล้านบาท
ปี 2544 มีกำไร 1.12 แสนล้านบาท
ปี 2545 มีกำไร 1.7 แสนล้าน
และปี 2546 ไม่น่าจะน้อยกว่า 2 แสนล้านบาท
ส่วนรายได้ภาครัฐบาล รายได้รวมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
รายได้รวมเพียง 9 เดือนแรกของปี 2546 มีถึง 9 แสนกว่าล้าน
พอๆ กับปี 2543 ทั้งปี
ส่วนดุลงบประมาณ การขาดดุลกำลังจะสิ้นสุดลง
ในปี 2543 ประเทศไทยขาดดุล 1.2 แสนล้าน
ปี 2544 ขาดดุล 1.1 แสนล้าน
ปี 2545 ขาดดุล 1.26 แสนล้าน
แต่ในปี 2546 เพียงแค่ 9 เดือนแรก
ก็เกินดุลแล้ว 1.46 หมื่นล้าน
สถานการณ์ด้านงบประมาณดีขึ้นมาก
ส่วนเงินสำรองระหว่างประเทศ
ปี 2543 มี 32,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ปี 2544 เพิ่มเป็น 33,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ปี 2545 เพิ่มเป็น 38,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ปี 2546 เมื่อชำระหนี้ไอเอ็มเอฟหมดแล้ว
จะมีทุนสำรอง 38,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ถือว่าไทยมีสถานะการเงินแข็งแกร่งมาก
รัฐบาลขอยืนยันอีกครั้งว่า ประเทศไทยวันนี้
ผมอยากจะบอกให้พี่น้องประชาชนให้มีความมั่นใจ
และภูมิใจในความเป็นคนไทย
ว่าวันนี้เราไม่มีพันธะใดๆ
สิ่งที่จะทำต่อไปก็คือว่า
จะต้องทำประเทศให้เข้มแข็ง
ปี 2545 ผมตั้งเป้าเศรษฐกิจ 5 เปอร์เซ็นต์ ก็ไม่มีใครเชื่อ
ตอนนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเขาตั้งว่าจะโตแค่ 2 เปอร์เซ็นต์
ต่างกันถึง 150 เปอร์เซ็นต์
แต่ในที่สุดรัฐบาลก็ทำได้คือโต 5.2 เปอร์เซ็นต์
และในปี 2546 ผมตั้งเป้า 6 เปอร์เซ็นต์
แม้จะประสบปัญหาโรคซาร์ส แต่มั่นใจว่าไม่เกินความสามารถ
เชื่อว่าจะทำได้ใกล้เคียงคือเกิน 5.5 เปอร์เซ็นต์แน่นอน
เพราะข้าราชการและเอกชน ประชาชนมีกำลังใจ
และไม่ใช่วิสัยของรัฐบาลนี้ที่จะงอมืองอเท้า
เราต้องกำหนดชีวิตเราเอง
ตั้งใจว่าปีหน้าจะทำให้ดีกว่านี้อีก
คนไทยต้องมีงานทำ ต้องกระจายความเจริญไปสู่รากหญ้า
ให้ความเจริญกระจายไปอย่างทั่วถึง
ต้องปรับเศรษฐกิจให้ได้
จากคุณ : มาหาอะไร - [ 25 ม.ค. 52 22:13:59 A:118.174.198.199 X: ]
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
|
|
|