• น้ำมัน โหดแน่ รัฐเตรียมขึ้นภาษีเท่าตัว |
โพสต์โดย ตนข่าว , วันที่ 08 พ.ค. 52 เวลา 10:20:34 IP: Hide ip |
กด like เพื่อติดตามข่าวสารดีๆ จาก cmprice.com VVVVVV
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
© เนื้อหาข่าว/กระทู้
.
.
คลังยังเดินหน้าหาเงิน เข้ารัฐ เตรียมขยายเพดานภาษีสรรพสามิตน้ำมัน จาก 5 บาทขึ้นเป็น 10 บาท ขณะที่ เบนซินเก็บเต็มเพดานไปแล้ว คาดว่าจะโกยเงินเข้าคลังอีกกว่า 5 หมื่นล้านบาท แถมขยายเพดานภาษีบุหรี่อีก 10% จากปัจจุบันจัดเก็บอยู่ที่ 80% ส่งผลให้บุหรี่ไทยและบุหรี่นอกปรับเพิ่มขึ้นซองละกว่าสิบบาท สร้างรายได้เพิ่มให้รัฐอีกปีละ 2 หมื่นล้าน รอประกาศในราชกิจจานุเบกษาถึงมีผลบังคับใช้
.
เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 7 พ.ค. น.พ.พฤฒิชัย ดำรงรัตน์ รมช.คลัง เปิดเผยว่า จากความจำเป็นเร่งด่วนเรื่องรายได้รัฐบาล ขณะนี้รัฐบาลจึงเสนอร่างพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) จัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันและภาษีสรรพสามิตบุหรี่เพิ่มเติม ภายหลังที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติในหลักการขยายเพดานการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันและภาษีสรรพสามิต บุหรี่เพิ่มเติมแล้ว โดยภาษีสรรพสามิตน้ำมันจะขยายเพดานจัดเก็บไปถึง 10 บาทต่อลิตร จากปัจจุบันเพดานจัดเก็บอยู่ที่ 5 บาทต่อลิตร และจัดเก็บเต็มอัตราแล้วในส่วนของน้ำมันเบนซิน 95 และ 91 ส่วนดีเซลเพดานจัดเก็บอยู่ที่ 4 บาทต่อลิตร แต่จัดเก็บขณะนี้ที่ 3.30 บาทต่อลิตร อย่างไรก็ตามสำหรับอัตราที่จะจัดเก็บจริงจะยังไม่จัดเก็บเต็มเพดาน โดยเบนซินคาดว่าจะจัดเก็บเพิ่ม 2 บาทต่อลิตร และดีเซลจะจัดเก็บเพิ่ม 1 บาทต่อลิตร จะมีผลเพิ่มรายได้ให้รัฐต่อปี 5-5.5 หมื่นล้านบาท
.
“แม้ว่าอัตราภาษีน้ำมันจะเพิ่มขึ้นถึงลิตรละ 5 บาท แต่ในการจัดเก็บจริงจะให้มีผลกระทบต่อราคาขายปลีกน้อยที่สุด เบื้องต้นประสาน ไปทางกระทรวงพลังงาน เพื่อใช้กลไกกองทุนน้ำมันเข้ามาช่วยเหลือ แต่จะออกมาในรูปแบบช่วยจ่ายเต็มหรือแบ่งครึ่งกับผู้ใช้รถในส่วนของราคาที่ เพิ่มขึ้นมา เป็นหน้าที่ของคณะกรรม การกองทุนน้ำมันจะเป็นผู้พิจารณา” น.พ.พฤฒิชัยกล่าว
.
รมช.คลังกล่าวต่อว่า ขณะที่ภาษีสรรพสามิตบุหรี่จะขยายเพดานจัดเก็บตามมูลค่าที่อัตราไปถึง 90% จากปัจจุบันจัดเก็บอยู่ที่ 80% คาดอัตราภาษีใหม่จะอยู่ที่ 85% โดยจะมีผลให้ราคาบุหรี่ต่อซองปรับเพิ่มประมาณ 11-16 บาท บุหรี่ไทย เช่น สายฝน กรองทิพย์ กรุงทอง ปรับเพิ่มขึ้นซองละ 11 บาท โดยราคาปัจจุบันอยู่ที่ซองละ 45 บาท เสียภาษีอยู่ที่ 23.92 บาท/ ซอง จากอัตราใหม่จะทำให้ราคาขึ้นไปที่ซองละ 56 บาท และเสียภาษีซองละ 34.92 บาท ส่วนบุหรี่นอก เช่น แอลเอ็มจะปรับเพิ่มซองละ 12 บาท และมาร์ลโบโรจะปรับเพิ่มซองละ 16 บาท จากราคาปัจจุบันอยู่ที่ซองละ 65 บาท เสียภาษีที่ซองละ 32.68 บาท อัตราใหม่จะทำให้ราคาปรับเพิ่มเป็นซองละ 81 บาท และเสียภาษีซองละ 48.60 บาท คาดจะสร้างรายได้เพิ่มเติมแก่รัฐปีละ 2 หมื่นล้านบาท
.
“กฎหมายที่เสนอให้ปรับเพิ่มภาษีน้ำมันและบุหรี่จะต้องรอประกาศในราชกิจจา นุเบกษาจึงจะนำมาใช้จริง ระหว่างนี้สั่งการให้กรมสรรพสามิตเข้มงวดในการตรวจสอบเพื่อป้องกันการกักตุน สินค้า แต่โดยปกติกรมจะมีข้อมูลการ ซื้อแสตมป์บุหรี่จากโรงงานผลิตอยู่แล้ว ดังนั้น จึงคาดว่าไม่น่าจะกักตุนได้มาก ทั้งนี้ การออกกฎ หมายครั้งนี้เข้มงวดเฉพาะสินค้าบาปแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลไม่ส่งเสริมให้ ประชาชนลุ่มหลงมัวเมากับเหล้ายา สอดคล้องไปกับต้องการลดงบการให้บริการสาธารณสุขที่ต่อปีต้องใช้เพื่อดูแล ผู้ดื่มเหล้าสูบบุหรี่ถึง 1.5 แสนล้านบาท” น.พ.พฤฒิชัยกล่าว
.
น.พ.บัณฑิต ศรไพศาล ผอ.ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา กล่าวว่า จากการที่รัฐบาลมีมติให้ขึ้นอัตราภาษีสรรพสามิตนั้น เห็นว่าเป็นการขึ้นภาษี น้อยเกินกว่าที่จะทำได้ เพราะความจริงรัฐบาลสามารถขึ้นภาษีได้เต็มเพดานมากกว่านี้ โดยเบียร์สามารถขึ้นภาษีได้ถึงร้อยละ 60 หรือ เพิ่มขึ้น 7-9 บาทต่อขวด ส่งผลให้ราคาขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 20 เหล้าขาวสามารถขึ้นไปได้ถึง 200 บาทต่อลิตร จะได้ภาษีเพิ่ม 22.50 บาทต่อขวด ราคาขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 28 และรัฐจะได้ภาษีในภาพรวมถึงกว่า 23,000 ล้านบาท แทน ที่จะได้เพียง 6,000 ล้านบาทจากการขึ้นอัตราภาษีครั้งนี้
.
“สิ่งที่รัฐบาลทำเป็นการแก้ปัญหาไม่ถูกจุด เพราะหากรัฐบาลและกรมสรรพสามิตต้องการหาเงินเข้ารัฐก็น่าที่จะขึ้นภาษีใน เครื่องดื่มแอล กอฮอล์ ที่ให้ส่วนแบ่งรายได้แก่รัฐในอัตราสูง เช่น สุรานำเข้า หรือเบียร์ แต่กลับขึ้นภาษีเหล้าขาว สุราปรุงพิเศษ ซึ่งมีสัดส่วนรายได้คืนให้ แก่รัฐต่ำมาก ที่สำคัญบริษัทผู้นำเข้าสุราต่างประเทศก็จะหันไปผลิตสุราราคาถูกที่มีเพดาน ภาษีต่ำ ทำให้กลุ่มเป้าหมายในการดื่มขยายวงกว้างขึ้น เพราะผู้บริโภคจะหันมาดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ราคาถูกเพราะเสียภาษี ถูกกว่า” น.พ.บัณฑิตกล่าว
.
น.พ.สมาน ฟูตระกูล ผอ.เครื่องดื่มแอล กอฮอล์และยาสูบ กรมควบคุมโรคกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า เมื่อวันที่ 4 พ.ค.ที่ผ่านมา สำนักงานฯ แจ้งความต่อผู้กำกับสถานีตำรวจภูธร จ.นนทบุรี ว่า บริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด กระทำผิดกฎหมายตามพ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 ตามมาตรา 32 เนื่องจากฝ่าฝืนในการโฆษณาเครื่องดื่มแอล กอฮอล์ ยี่ห้อลีโอ เบียร์ ลงในเว็บไซต์ www. leolism.net และ www.leobeer.com โดยปรากฏข้อความบนฉลากของเครื่องดื่มแอลกอ ฮอล์ยี่ห้อดังกล่าว บนหน้าแรกของทั้งสองเว็บไซต์ว่า “เต็มเปี่ยมด้วยคุณภาพ” ซึ่งเป็นข้อความที่อยู่ด้านหลังฉลากเครื่องดื่มยี่ห้อดังกล่าว และคำว่า “SMOOTH & GREET TASTE” หมายความว่า รสนุ่มและยอดเยี่ยม และยังพบข้อความ “ลีโอเบียร์ ถูกคอ ถูกใจ” ด้านล่างเว็บไซต์
.
“นอกจากนี้ยังพบข้อความประกอบรูปภาพในเว็บไซต์ โดยมีคำว่า “เย็นๆ…ริมทะเล” ประกอบภาพขวดและกระป๋อง และคำว่า “พักผ่อนให้เต็มที่ วันนี้ไม่ต้องขับรถ” ประกอบภาพขวด ฝ่าฝืนมาตรา 32 ที่ห้ามโฆษณา เครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือแสดงชื่อ หรือเครื่องหมายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เป็นการอวดอ้างสรรพคุณ หรือชักจูงใจให้ผู้อื่นดื่มโดยตรงหรืออ้อม รวมทั้ง การโฆษณา ประชาสัมพันธ์ สามารถทำได้โดยให้ข้อมูลข่าวสาร หรือความรู้เชิงสร้างสรรค์สังคม โดยไม่มีการปรากฏภาพของสินค้า หรือบรรจุภัณฑ์ของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยกเว้น ภาพสัญลักษณ์ของเครื่องดื่มหรือบริษัทผู้ผลิตเท่านั้น หากฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี และปรับไม่เกิน 5 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ” น.พ.สมานกล่าว
.
นายสุธาบดี สัตตบุศย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บุญรอด บริวเวอรี่ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เบียร์สิงห์ ลีโอ และเครื่องดื่มตราสิงห์ กล่าวว่า บริษัทและกลุ่ม ผู้ประกอบการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั้งระบบได้รับผลกระทบที่รุนแรง คาดว่าจะทำให้ราคาขายหน้าโรงงานของเบียร์สิงห์ในปริมาณบรรจุ 600 มิลลิลิตร ปรับเพิ่มขึ้นมากกว่า 10 บาทเช่นกัน จากปัจจุบันมีราคาขายหน้าโรงงาน 39.95 บาทต่อขวด
“การเห็นชอบขึ้นภาษีดังกล่าวเป็นการปรับขึ้นที่สูงมากเหลือเกิน ทำให้ขณะนี้ทั้งอุตสาห กรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง จากปัจจุบันก็ได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจที่ซบเซากดดันอยู่แล้ว แต่บริษัทก็ยังคาดการณ์ไม่ได้ว่าจะต้องปรับราคาขายปลีกสูงขึ้นอีกเท่าไร จากการต้องถูกเก็บภาษีเพิ่ม” นายสุธาบดีกล่าว
.
ด้านนายฉัตรชัย วิรัตน์โยสินทร์ ผอ.สายการตลาด บริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า บริษัทอาจมีการปรับราคาขายปลีกเบียร์เพิ่มขึ้นอีกอย่างน้อย 3 บาท ซึ่งการกักตุนสินค้าล่วงหน้าเพื่อเก็งกำไรคาดว่าไม่น่าเกิดขึ้น ด้วยเครื่องดื่มเบียร์เป็นสินค้าที่ผลิตออกมาต่อวันและจำหน่ายได้หมดทุกวัน และจ่ายภาษีทันที
.
อย่างไรก็ตามทางกลุ่มผู้ประกอบการแอลกอ ฮอล์มีความกังวลว่า หากรัฐมีแนวคิดเรียกเก็บภาษีหน้าโรงงานเพิ่มในอัตราใหม่ 42.93 บาทต่อขวด จากเดิมอยู่ที่ 36.95 บาทต่อขวด ในปริมาณบรรจุ 600 มิลลิลิตร ซึ่งเป็นต้นทุนหน้าโรงงานที่ใช้คำนวณภาษีสรรพสามิตสำหรับเบียร์ราคาประหยัด หากรัฐนำแนวคิดนี้มาใช้จริงกับผู้ประกอบการเชื่อว่าจะทำให้เบียร์แต่ละ ยี่ห้อในตลาดต้องปรับราคาเพิ่มเกิน 3 บาทแน่นอน เช่น เบียร์สิงห์ มีราคาเพิ่มขึ้นอีก 8-12 บาทต่อขวด เบียร์ลีโอเพิ่มขึ้น 8 บาทต่อขวด และเบียร์ยี่ห้อราคาแพงที่ผลิตในประเทศไทย น่าจะเพิ่มขึ้นเกิน 10 บาทต่อขวดแน่นอน
.
ส่วนนายโอฬาร โชว์วิวัฒนา ผอ.ฝ่ายกิจ กรรมสัมพันธ์และกฎหมาย บริษัท บาคาร์ดี (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำเข้าเครื่องดื่มแอลกอ ฮอล์ภายใต้ชื่อบาคาร์ดี และเดวาร์ กล่าวว่า บริษัทไม่ได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นภาษีดังกล่าว เพราะปัจจุบันสุราที่นำเข้าจากต่างประเทศทั้งหมดถูกเก็บภาษีเต็มเพดานที่รัฐ กำหนดไว้อยู่แล้ว และเชื่อมั่นว่าการปรับขึ้นภาษีในครั้งนี้จะทำให้ตลาดรวมแข่งขันกันรุนแรง มากขึ้นแน่นอน
.
ด้านนายอนุชิต จุรีเกษ ผอ.สำนักสื่อสารองค์กร บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) เจ้าของเบียร์ช้าง และสุรา กล่าวว่า บริษัทไม่คัดค้านที่รัฐจะเก็บภาษีเพิ่ม เพราะเข้าใจดีว่า รัฐจำเป็นต้องมีรายได้เพิ่มมากขึ้น เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศที่กำลังซบเซาอยู่ แต่ยอมรับว่าอาจส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการโดยรวมและกำลังซื้อของผู้บริโภค บางส่วนแน่นอน โดยในอนาคตเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมอยากให้รัฐพิจารณาการปรับโครงสร้างภาษี สรรพสามิตใหม่อีกครั้ง
.
.
ที่มา ข่าวสด
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
|
|
|
แจ้งลบกระทู้นี้
อ่าน 1327 |
|
แสดงความคิดเห็น |
โดย ตนข่าว
IP: Hide ip
, วันที่ 08 พ.ค. 52
เวลา 10:20:34
|