• เรื่องบัตรเติมเงิน ทักษิณ เลวหรือไม่ พิจารณากันเอง |
โพสต์โดย พี , วันที่ 08 มี.ค. 53 เวลา 10:06:10 IP: Hide ip |
กด like เพื่อติดตามข่าวสารดีๆ จาก cmprice.com VVVVVV
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
© เนื้อหาข่าว/กระทู้
เรื่องโทรศัพท์มือถือ รายใหญ่คงไม่พ้น เอไอเอส กับ แทค โดย เอไอเอส ได้รับสะมปทานจาก องค์การโทรศัพท์ และ แทค ได้รับสัมปทานจาก การสื่อสาร
ประเด็นของกระทู้นี้ จับเอาเฉพาะตอนที่มีการเปิดใช้ ระบบจ่ายเงินล่วงหน้า หรือที่เรียกกันว่าบัตรเติมเงิน เพื่อให้เป็นข้อมูลพิจารณาว่า ในเรื่องนี้ ทักษิณ ทำความชั่ว ไว้หรือไม่
เอไอเอส ทำสัญญากับองค์การโทรศัพท์ เรื่องการใช้ระบบโทรศัพท์ แบบจ่ายเงินล่วงหน้า โดย จ่ายผลตอบแทนให้องค์การโทรศัพท์ 25% ตั้งแต่เริ่มเปิดใช้งานตั้งแต่ 1 ต.ค.2543-30ก.ย.2548 และจ่ายเพิ่มขึ้นเป็น 30 % จาก 1 ต.ค. 2548ไปจนสิ้นสุดอายุสัมปทาน
เมื่อทักษิณได้เข้ามาเป็นรัฐบาล ได้การเปลี่ยนสัญญา เป็นให้จ่าย 20% ตลอดอายุสัมปทานโดยให้เหตุผลว่า เพราะว่า ดีแทค จ่ายให้องค์การโทรศัพท์เพียง 18%
ทีนี้มาดูรายละเอียดที่มาที่ไปของการที่ ดีแทคจ่ายให้องค์การโทรศัพท์ 18%บ้าง เพื่อพิจารณาว่า เหตุผลที่อ้าง ในการขอเปลี่ยนสัญญาลดค่าส่วนแบ่งลง ของ เอไอเอส สมเหตุสมผลหรือไม่
เมื่อ ดีแทค ขอเปิดใช้ระบบโทรศัพท์แบบเติมเงินกับ การสื่อสารแล้ว ดีแทคต้องเจรจากับองค์การโทรศัพท์ด้วย เพราะการใช้โทรศัพท์นั้น ต้องนำคลื่นของการสื่อสาร เข้ามาใช้เครือข่ายของ อง๕การโทรศัพท์ อีกทั้ง การสื่อสารไม่มีเบอร์ของตัวเอง เมื่อดีแทคต้องการเบอรืโทรศัพท์ ก็ต้องเช่าเบอร์กับองค์การโทรศัพท์
ในตอนแรก ทางองค์การคิดค่าเบอร์เดือนละ 200 บาทไม่ว่า ผู้ใช้บัตรเติมเงินใช้เดือนละเท่าไร ดีแทคต้องจ่ายให้กับองค์การโทรศัพท์ 200บาทเสมอ หลังจากเปิดใช้งานแล้ว ปรากฏว่า ดีแทคขาดทุน จึงเจรจากับองค์การโทรศัพท์ ขอเป็นแบ่งรายได้ ซึ่งสรุปที่ 18%ซึ่ง18%นี้ไม่ใช่เป็นค่าใช้จ่ายที่ ดีแทค ต้องจ่ายให้องค์การอย่างเดียวเท่านั้น ดีแทคยังมีภาระที่ต้องจ่ายค่าเชื่อมระบบจากการสื่อสารเข้าไปในระบบขององค์การโทรศัพท์ อีก ซึ่งมีทั้ง network และต้องมี trunk เพื่อเชื่อมเข้าหากัน
ค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ ตอนต้น องค์การโทรศัพท์คิดราคา วงจรE1 ขนาด 2 Mbps( เท่ากับ30วงจรโทรศัพท์)เดือนละ แสนเศษ ต่อมาลดให้เหลือ 75000 บาท ลองคิดดูว่า ระบบเติมเงินของ ดีแทค ที่ต้องเชื่อมเข้าไปในระบบของ องค์การโทรศัพท์เดือนหนึ่งกี่วงจร ก็คูณเอาจากจำนวนผู้ใช้ จะเห็นได้ว่า ดีแทค ซึ่งเป็นสัมปทานกับ การสื่อสาร แต่ต้องมีภาระที่ต้องจ่ายให้กับองค์การโทรศัพท์อีก ซึ่งค่าเฉลี่ยที่ ดีแทค ต้องแบ่งรายได้ทั้งค่าสัมปทานการสื่อสาร และค่าเชื่อมสัญญาณให้กับองค์การโทรศัพท์ในตอนแรก ถึง32% ทางดีแทคก็เจรจากับองค์การโทรศัพท์ขอลดค่าใช้จ่ายอีก และสุดท้ายสรุปตรงที่ ดีแทคต้องแบ่งหุ้นให้กับองค์การโทรศัพท์ 11 % ภายหลัง ดีแทคเพิ่มทุน จึงทำให้สัดส่วนหุ้นที่ องค์การโทรศัพท์ถือไว้ในดีแทคก็ลดลงตามสัดส่วน
สรุปสุดท้าย ในระบบบัตรเติมเงิน ดีแทค ต้องจ่ายให้กับ องค์การโทรศัพท์ เท่ากับ เอไอเอส ทั้งๆที่ ดีแทคต้องจ่ายค่าสัมปทานให้กับการสื่อสารอีกด้วย
การที่ เอไอเอส แก้สัญญาลดค่าส่วนแบ่งรายได้จากองค์การโทรศัพท์ โดยอ้างว่า เพราะองค์การเก็บจาก ดีแทค 18% เป็นเรื่องที่มีเหตุผลหรือไม่ก็พิจารณาเอาเถอะครับ
นี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้น ตอนที่ ทักษิณ ชินวัตร เป็น นายกรัฐมนตรี ท่านคิดว่า ทักษิณ กระทำชั่วไว้ในแผ่นดินหรือไม่ก็พิจารณากันเอง
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
|
|
|
แจ้งลบกระทู้นี้
อ่าน 2056 |
|
แสดงความคิดเห็น |
โดย พี
IP: Hide ip
, วันที่ 08 มี.ค. 53
เวลา 10:06:10
|