ดูไบมนต์เสน่ห์ทะเลทราย

     ดูไบ-อาบูดาบี-ชาร์จาห์ ดินแดนทะเลทรายที่มีชีวิตชีวาอยู่ทุกช่วงเวลาของการเดินทาง 3 รัฐใน 7 ของสาธารณรัฐอาหรับเอมิเรตส์ที่มอบความสุข ตื่นเต้น และมหัสจรรย์ให้ฉันและเพื่อนๆตลอดการเดินทาง
     อาบูดาบี เมืองหลวงของสาธารณรัฐอาหรับอามิเรตส์ เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ของสาธารณรัฐอาหรับอามิเรตส์ อาบูดาบีตั้งอยู่บนเกาะรูปตัวทีที่ยื่นเข้าไปในอ่าวเปอร์เซีย เป็นเมืองที่ค่าครองชีพแพงที่สุดเป็นอันดับ 3 ในภูมิภาคและอันดับที่ 26 ของโลก และเป็นเมืองหน้าด่านที่ทำธุรกิจค้าขายและท่องเที่ยว มีตึกสูงเทียมฟ้าใหญ่โต ต้นปาล์ม อินทผลัมนานาพันธุ์มีให้ได้ชิม ฉันซึมซับคำบอกเล่าของไกด์อีดว่า “พวกเรากำลังยืนอยู่ในเมืองที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น Garden of Gulf ด้วยความเขียวโดยรอบ จึงเปรียบเสมือนสวรรค์แห่งทะเลทรายที่นักท่องเที่ยวอย่างพวกเราไม่ควรพลาด
     สถานที่สำคัญต้องมาเยือน คือ Sheikh Zayed bin Sultan al nahyan Grand MosQue ได้ชื่อว่ายิ่งใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลกและเป็นสุเหร่าหลวงประจำเมืองอาบูดาบี ภายในสุเหร่ามีพรมผืนใหญ่ที่สุดในโลก และโคมไฟ Chandelier ที่ใหญ่ที่สุดในโลก นำเข้าจากเยอรมันทำด้วยทองคำและทองแดง สาวๆ ที่เข้าไปชมต้องเปลี่ยนชุดคลุมเป็นสีดำตามวัฒธรรมของเขา จากนั้นก็ไปเริงร่ากับตลาดพรมราคาถูกจากอิหร่านและเปอร์เซียที่มีลวดลายสวยงาม เพื่อนๆ จะได้สนุกกับการชม ช้อปสินค้าที่ระลึก ทั้งพรม เครืองแก้ว ฯลฯ มื้อกลางวันเรารับประธานบุฟเฟ่ต์สไตล์อเมริกันที่โรงแรม Emiratte Palace ในอดีตเคยเป็นพระราชวังแต่ปัจจุบันกลายเป็โรงแรมระดับเจ็ดดาวทัดเทียมโรงแรม Burj Al Arab ( โรงแรมเรือใบ ) ที่ดูไบ หรูหรามาก ระหว่างทางกลับไปดูไบ พวกเราแวะดูสินค้าที่ Heritage Village มีร้านขายของพื้นเมืองและการแสดงของคนพื้นเมือง แต่ที่อยากกรี๊ดก็ คือ IBM Battuta Mall ห้างสรรพสินค้า 6 บรรยากาศที่แตกต่างกัน จากนั้นก็ชม Mall Of The Emirates ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ที่ขาช้อปต้องตาโต หรือจะเลือกถ่ายรูปหิมะที่ Ski Dubai Complex ดูวิถีความเป็นอยู่ของชาวอาหรับ
     ดูไบ หลังมื้อเช้าพวกเรายังติดใจกับการชมธรรมชาติโดยการล่องเรือ คราวนี้เป็น Water Taxi ชมความงามของแม่น้ำครีกส์ ศูนย์รวมของประวัติศาสตร์และประเพณี ดูสุเหร่าจูไมร่า คู่บ้านคู่เมืองดูไบ สร้างด้วยหินอ่อนทั้งหลังแล้วถ่ายรูปที่ชายหาด Jumeirah Beach ซึ่งจะเห็นฉากหลังของโรงแรม 7 ดาว อย่าง Burj Al Arab ตั้งอยู่ริมอ่าวอาหรับ เรียกว่าเป็นที่พักอาศัยระดับอภิมหาเศรษฐี ชมโครงการอลังการของเดอะปาล์มไอร์แลนด์ ถมทะเลให้เป็นเกาะ สร้างเป็นรูปต้นปาล์ม 3 เกาะ ที่ประกอบด้วยโรงแรม รีสอร์ท ภัตตาคาร ร้านค้า อพาร์ตเมนท์ และสำนักงานต่างๆ นับว่าเป็นสิ่งมหรรศจรรย์อันดับ 8 ของโลก ส่วนช่องบ่ายผจญภัยกลางทะเลทรายกับรถโฟร์วิลไดรฟ์ขับเคลื่อน 4 ล้อไปบนดูน ชมพระอาทิตย์ตก สัมผัสชีวิตแบบเบดูอิน ขี่อูฐ และพักในกระโจมแบบอาหรับ และรับประทานอาหารเย็นแบบบาร์บีคิว ชมระบำหน้าท้อง Belly dance ที่เป็นการเต้นรำที่เก่าแก่ที่สุด
     ชาร์จาห์ ใช้เวลาเดินทางจากดูไบ 30 นาทีไปที่ศูนย์วัฒนธรรม พบอนุสาวรียัมภีร์กุรอ่าน ชมวัฒนธรรมโบราณของชาร์จาห์ ที่เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมสวยงาม ที่นี่ฉันกรี๊ดกร๊าดกับเพื่อนๆ เพราะได้ไปตลาดบลูซุค ( Blue Souk ) ตลาดใหม่ที่มีทั้งรองเท้า กระเป๋า เครื่องหนัง ของที่ระลึกมากมายในราคามิตรภาพ ช่วงบ่ายไปชมพิพิธภัณฑ์ดูไบ ( Dubai Museum ) ทันสมัย รวมเรื่องราวประวัติศาสตร์สำคัญไว้มากมาย อาทิ การขุดพบน้ำมัน งานศิลป์ แบ่งเป็นสองส่วน ด้านบนจำลองกำแพงหิน กระท่อมเก่าๆ ส่วนด้านล่างมีภาพวาดสีน้ำมันของดูไบ หุ่นขี้ผึ้งแสดงวิถีของคนพื้นเมือง ทั้งต่อเรือ ดำหอยมุก ฯลฯ เปลี่ยนบรรยากาศไปตื่นทองที่ตลาดทอง Gold Souk ซึ่งเป้นตลาดทองที่ใหญ่ที่สุดในโลกมีทุกอย่างที่เป็นอัญมณี เช่น มุก ทอง เครื่องประดับ มีร้านทองกว่าร้อยร้านให้เลือกซื้อเลือกชม สุดท้ายของรายการพวกเราไปดูห้างของดุไบมอล ( Dubai Mall ) เป็นห้างสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลกให้ตื่นตาตื่นใจ และเดินช้อปปิ้งสินค้ามากมายอย่างวสบายอารมณ์
     การเดินทางทริปนี้ถือว่าเป็นทริปที่ล้ำค่าในความทรงจำของฉัน ที่มีแต่เรื่องตื่นเต้น มหัศจรรย์และหรูหราในดินแดนที่ร่ำรวยที่สุดในโลก