รวบสามเณรร่วมม็อบ
รวบสามเณรร่วมม็อบ.............. เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 17 มิ.ย. 2553 พ.ต.อ.วีรชน บุญทวี ผกก.สส.3 บก.สส.ภ.5 พร้อมด้วย พ.ต.ต.มนัส ถือดี สว.สส.ภ. 5 และพวกจำนวนหนึ่ง ได้นำหมายจับของศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดเชียงใหม่ ที่ 13/2553 ลงวันที่ 14 พ.ค.2553 เข้าจับกุมตัว สามเณร แอ (นามสมมติ) อายุ 16 ปี อยู่บ้านเลขที่ 25/2 หมู่ 7 ต.บ้านปง อ.หางดง จ.เชียงใหม่ ในข้อหา ร่วมกันบุกรุกโดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย, ร่วมกันต่อสู้ขัดขวาง เจ้าพนักงานในการปฎิบัติหน้าที่โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย ร่วมกันทำร้ายร่ายกายเจ้าพนักงานซึ่งได้กระทำตามหน้าที่ หรือได้กระทำตามหน้าที่ โดยจับกุมได้ขณะที่สามเณรอนุวัน กลับมาที่บ้าน ทางตำรวจได้ประสานกับนาย คำ พิลา ผู้ใหญ่บ้านปางยาง หมู่ 7 ต.บ้านปง อ.หางดง เข้าร่วมในการจับกุมตัว โดยทางสามเณรอนุวัน ไม่มีท่าทีสะทกสะท้านใดๆ และให้ความร่วมมือกับทางตำรวจแต่โดยดี นำตัวมาทำการสอบสวนที่ บก.สส.ภาค 5 จ.เชียงใหม่ทางญาติ ได้ติดตามมาด้วยพ.ต.อ.วีรชน กล่าวว่า ตามพยานหลักฐาน เมื่อวันที่ 25 ม.ค.2553 ทาง สามเณร อนุวัน เป็นผู้หนึ่งในการบุกเข้ามาในบริเวณตำรวจภูธรภาค 5 ร่วมกับกลุ่มผู้ชุมนุมคนเสื้อแดง จนมีการต่อสู้ใช้ประทัดยักษ์และระเบิดปิงปองโยนใส่ตำรวจ จนทางตำรวจได้เข้าควบคุมตัวไว้ แต่กลับถูกกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 กดดันให้ปล่อยตัวออกมา โดยทางตำรวจมีหลักฐานทั้งภาพถ่ายบันทึกภาพไว้ จนมีการเสนอออกหมายจับทางสามเณร อนุวัน ที่ได้เดินทางไปร่วมชุมนุมที่ราชประสงค์กรุงเทพฯ และได้เดินทางกลับมา และได้หลบซ่อนตัวอยู่ตามวัดบนดอย จนทางตำรวจสืบทราบว่า ได้ย้อนกลับมาที่บ้านเพื่อเยี่ยมแม่ ทางตำรวจจึงได้เข้าทำการควบคุมตัว พร้อมแจ้งข้อกล่าวหาให้ทราบสามเณอนุวัน กล่าวว่าได้เข้ามาร่วมจริงแต่ไม่ได้เป็นคนก่อเหตุโยนประทัด หรือระเบิดปิงปองอะไร เหตุที่ร่วมด้วยเพราะได้รู้จักกับ ดีเจอ้วน ของวิทยุคนเสื้อแดง และยังได้เดินทางไปที่กรุงเทพฯ ได้มีโอกาสขึ้นไปพูดบนเวทีใหญ่ที่กรุงเทพฯด้วยและได้เห็นภาพต่างๆในช่วงมี การสลายการชุมนุมด้วย ตนถือว่าไม่ได้ทำผิดอะไร หากจะต้องถูกตั้งข้อหาผู้ก่อการร้ายก็แล้วแต่ตำรวจ ไม่ได้รู้สึกหวั่นไหวใดๆ หากไม่มีอะไรเกิดขึ้น ตนก็จะบวชเป็นพระไปจำวัดอยู่ตามที่แม่ตนได้ขอร้องไว้ ส่วนเรื่องนี้ก็คงปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาขณะเดียวกันทาง พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม ผบช.ภ. 5 กล่าวถึงสถานการณ์ทางการเมืองในพื้นที่ว่า ปัจจุบันสถานการณ์ดีขึ้นมากแล้ว เนื่องจากทุกฝ่ายหันหน้าสู่ความปรองดอง ลดความขัดแย้งในพื้นที่ ขณะเดียวกันยังไม่ได้ข้อสรุปว่าจะยกเลิกพระราชกำหนดบริหารราชการแผ่นดินใน สถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่หรือไม่ ส่วนกรณีของแกนนำเสื้อแดงที่หลบหนีหมายจับนั้น หากเข้ามาในพื้นที่ก็ต้องทำการจับกุม เพราะหากตำรวจไม่จับกุมก็จะมีความผิดฐานละเว้นไม่ปฏิบัติหน้าที่ ขณะที่ผู้ที่ถูกชักจูง ให้ไปร่วมชุมนุม รัฐบาลกำลังพิจารณาเพื่อยุติปัญหาภายใต้หลักความปรองดอง.