• นพดลอ้างกมธ.มะกันขอเลื่อนแม้วแจง |
โพสต์โดย กรรมกรข่าว , วันที่ 12 ธ.ค. 53 เวลา 15:21:25 IP: Hide ip |
กด like เพื่อติดตามข่าวสารดีๆ จาก cmprice.com VVVVVV
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
© เนื้อหาข่าว/กระทู้
เมื่อเวลา 12.15 น.วันที่ 12 ธ.ค. นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมายพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้เเถลงข่าวที่อาคารโอเอไอทาวเวอร์ ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ โดยนายนพดลได้นำจดหมายที่พ.ต.ท.ทักษิณเขียนถึงคณะกรรมาธิการว่าด้วยความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป(ซีเอสซีอี) มาแถลงข่าวว่า เมื่อคืนวันที่ 11 ธ.ค.ตนได้คุยกับพ.ต.ท.ทักษิณว่า ได้รับแจ้งว่าซีเอสซีอีได้ขอเลื่อนการพิจารณาปัญหาสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยออกไปอีกระยะเวลาหนึ่ง ในอีกไม่กี่สัปดาห์ คาดว่าจะเป็นช่วงเดือนม.ค. 2554 เนื่องจากรัฐสภาฯสหรัฐฯมีสมาชิกได้รับเลือกตั้งเข้ามาใหม่ และจะเปิดสมัยประชุมอีกไม่นาน อาจทำให้ซีเอสซีอีมีการเปลี่ยนแปลงบุคลากรไปบางส่วน ซึ่งพ.ต.ท.ทักษิณได้ทำหนังสือตอบไปว่ายินดีและขอบคุณ โดยเห็นว่าการเลื่อนไต่สวนจะทำให้สามารถสะสางเรื่องวีซ่าให้เสร็จสิ้น รวมทั้งจะได้มีเวลารวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนเข้าสู่การพิจารณาของซีเอสซีอี โดยเฉพาะข้อมูลและเอกสารที่ปรากฏต่อสารธารณชนเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการตายของประชาชนผู้เรียกร้องประชาธิปไตยระหว่างการสลายการชุมนุมเกิดขึ้นระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่
"นอกจากนี้พ.ต.ท.ทักษิณยังแสดงความขอบคุณซีเอสซีอีที่สนใจในเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย เนื่องจากปัญหานี้ชาวโลกมีความสนใจอย่างจริงจัง จนมีผลทำให้รัฐบาลไทยต้องตอบสนองปฏิกิริยาทั่วโลกด้วยการเตรียมยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉิน โดยพ.ต.ท.ทักษิณก็หวังด้วยว่าจะมีการปล่อยตัวผู้ต้องหาที่ถูกคุมขังอยู่ด้วย"นายนพดลกล่าว
นายนพดลกล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณยังได้ย้ำในจดหมายว่า การไต่สวนของซีเอสซีอีจะมีผลทำให้ชาวโลกตระหนักถึงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น เพราะที่ผ่านมายังไม่มีการไต่สวนโดยคณะกรรมการที่มีความเป็นอิสระ และเป็นกลางอย่างแท้จริงเกี่ยวกับเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อเดือนเม.ย.-พ.ค.2553 ทั้งๆ ที่ครอบครัวผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับบาดเจ็บเรียกร้องมาตลอด รวมทั้งรัฐบาลยังไม่ได้แสดงความรับผิดชอบใดๆในการละเมิดสิทธิมนุษยชน ก็หวังว่าจะเป็นโอกาสที่ดีที่ซีเอสซีอีจะได้ทำหน้าที่จุดนี้ให้ความจริงจะปรากฏสู่สายตาชาวโลก ส่วนตัวไม่อยากให้รัฐบาลหวั่นไหวหรือวิตกจริตเกินเหตุ ยืนยันว่าพ.ต.ท.ทักษิณจะไปชี้แจงความจริง ไม่มีการปั้นแต่งหรือเอาความเท็จไปพูด เพราะหากทำเช่นนั้นจะเป็นการทำลายความน่าเชื่อถือของตัวเอง
นายนพดลกล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณเชื่อมั่นว่าความจริงจะทำให้ความแตกแยกได้รับการเยียวยา นำไปสู่ความปรองดอง ขอย้ำว่าเรื่องนี้ไม่ใช่การสร้างข่าวหรือเรียกร้องความสนใจใดๆ หากมีจุดมุ่งหมายเช่นนั้นมีวิธีการอื่นที่จะทำได้เยอะแยะ ส่วนเรื่องวีซ่านั้นยังไม่รู้ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร และไม่รู้ต้องรออีกนานแค่ไหน เมื่อถามว่าเอกสารสำนวนของดีเอสไอ 10 กรณีที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย บอกว่ามีอยู่นั้นจะใช้เป็นหลักฐานประกอบในการเข้าพบกรรมาธิการของพ.ต.ท.ทักษิณหรือไม่ นายนพดลตอบว่า เรื่องนี้ทำได้ เอกสารดังกล่าว น่าจะเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา และเพื่อเป็นการยืนยันว่าการสลายการชุมนุมของเจ้าหน้าที่ทำให้มีคนบาดเจ็บล้มตาย
เทพไทเชื่ออเมริกาไม่ให้วีซ่าทักษิณ
นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะเดินทางไปสหรัฐอเมริกาในช่วงกลางเดือนธ.ค.ว่า ส่วนตัวเชื่อว่าสหรัฐอเมริกา จะไม่อนุญาตให้พ.ต.ท.ทักษิณเข้าประเทศแน่นอน อย่างไรก็ตามขณะนี้พรรคเพื่อไทยคงทราบความชัดเจนดังกล่าวแล้ว แต่ไม่กล้าพูดความจริง เพราะต้องการให้ข่าวของพ.ต.ท.ทักษิณอยู่ในกระแสสื่อ ยาวนานที่สุด
ปชป.ถามพท.พร้อมเลือกตั้งแล้วหรือ
นายเทพไท กล่าวถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยเรียกร้องให้มีการยุบสภาโดยเร็ว หลังจากที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี แสดงความเห็นว่าอาจจะยุบสภาไม่เกินปลายปี 2554ว่า ซึ่งหากดูบรรยากาศเลือกตั้งซ่อมส.ส. สามารถบอกนัยนะได้ในระดับหนึ่ง เช่น การรณรงค์หาเสียงเป็นที่น่าพึงพอใจ ไม่มีการขัดขวางของพรรคการเมืองต่างๆหลายพื้นที่ แต่ที่กังวลคือวิธีการหาเสียงรูปแบบเดิม ด้วยการใส่ร้าย ปลุกระดม แยกฝ่าย เหมือนการชุมนุมทางการเมือง รวมถึงมีการซื้อเสียงโดยบางพรรคยังคงใช้วิธีการเดิมๆ ซึ่งการรณรงค์หาเสียงบางพื้นที่ไม่มีการใช้เวทีปราศรัย เพื่อประกาศนโบายให้กับประชาชนใช้พิจารณาการเลือกตั้ง ส่วนเร่งรัดของพรรคเพื่อไทยให้รัฐบาลยุบสภาภายในเดือนม.ค. 2554 อยากถามพรรคเพื่อไทยว่าได้เตรียมความพร้อมสู่สนามเลือกตั้งหรือยัง
นายเทพไท ยังกล่าวถึงกรณีที่พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย ระบุเหตุผลที่ลงเล่นการเมือง 5 ข้อผ่านการปราศรัยหาเสียงว่า 1.พิสูจน์ความจงรักภักดีคนเสื้อแดงที่มีต่อพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นความเพียรพยายามหลายครั้งแต่ขาดความน่าเชื่อถือ ถึงแม้ดำเนินการอย่างไรก็ตาม ทั้งหมดอยู่ที่พฤติกรรมของพรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดง 2.สร้างความปรองดอง แต่กลับปล่อยให้นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่มคนเสื่อแดง เคลื่อนไหวกับกลุ่มเสื้อแดงรายเดือน รวมถึงนายใหญ่ที่ยังคงเคลื่อนไหวอยู่ที่ต่างประเทศ 3.ต้องการแก้ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นได้เพราะใคร รวมถึงโครงการฮารัปปันบารู โดยสมัยที่พล.อ.ชวลิตเป็นนายกฯล้มเหลวนั้นจะฟื้นมาอีกหรือไม่ 4.ฟื้นสัมพันธ์เพื่อนบ้าน อยากเตือนว่าปัญหาของไทย-กัมพูชาที่ผ่านมา เกิดจากพล.อ.ชวลิต ที่เดินไปประเทศกัมพูชา และพบกับสมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ซึ่งทุกวันนี้รัฐบาลพยายามพื้นฟูความสัมพันธ์ที่เป็นไปตามลำดับ 5.ต้องการแก้ความยากจน นโยบายอีสานเขียวในอดีตประสบความสำเร็จหรือยัง และช่างหนึ่งพล.อ.ชวลิตบอกว่า หากแก้ไม่ได้จะไปกระโดดนํ้าโขงตาย ดังนั้น ไม่อยากให้ประกาศในลักษณะดังกล่าวเป็นครั้งที่สอง
“เทพไท"หนุนขึ้นเงินเดือนฝ่ายการเมือง
นายเทพไท แถลงข่าวสนับสนุนการขึ้นเงินเดือนให้กับข้าราชการทุกระดับ จำนวนร้อยละ 5 และนักการเมืองทั้งส.ส.และส.ว. ร้อยละ 14.7 โดยเฉพาะการปรับขึ้นเงินเดือนของนายกรัฐมนตรี ที่ขณะนี้ถือว่ามีอัตราที่น้อยกว่าผู้บริหารรัฐวิสาหกิจ เพราะผู้บริหารบางคนได้เงินเดือนมากถึง 3 แสน-1 ล้านบาท ทั้งๆที่เป็นองค์กรที่อยู่ใต้การบริหารงานของนายกฯ และตนมองว่าเงินเดือนของนายกฯ ที่ได้เดือนละ 1.2 แสนบาทนั้นอาจจะทำให้เกิดการวิจารณ์ได้ เพราะมีอัตราที่ใกล้เคียงกับส.ส. ที่ได้เงินเดือน 1 แสนบาท ที่สำคัญเมื่อเทียบกับผู้บริหารในตำแหน่งเดียวกันของประเทศอื่นถือว่านายกรัฐมนตรีของประเทศไทยมีเงินเดือนค่อนข้างน้อกว่า
“ผมว่าวันนี้ต้องลบค่านิยมนักการเมืองที่ดีต้องเสียสละและไม่ควรมีเงินเดือนสูง เพราะมีช่องทางทำรายได้อื่นมาก ซึ่งผมยอมรับขณะนี้มีนักการเมืองที่มีพฤติกรรมไม่ดี นิยมโดดร่ม ไม่ปฏิบัติหน้าที่ แต่อย่าให้นักการเมืองเหล่านั้นเป็นตัวถ่วงในการปรับขึ้นเงินเดือนครั้งนี้ นอกจากนั้นแล้วควรรณรงค์ให้ประชาชนคัดกรองนักการเมืองในพื้นที่ที่มีพฤติกรรมไม่ดีอย่าให้เข้ามาดำเนินกิจกรรมการเมืองได้อีก และหาทางปิดกั้น และคุ้มพฤติกรรมนักการเมืองที่ฉ่อโกงทำให้ภาษีของประชาชนเสียหายมากกว่าการวิวิจารณ์การขึ้นเงินเดือนที่รัฐบาลจัดให้นักการเมืองเหล่านั้น” นายเทพไท กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่าเงินเดือนและสวัสดิการที่นักการเมืองได้รับไม่เพียงพอต่อการยังชีพหรือถึงต้องปรับเพิ่มเงินเดือนอีก นายเทพไท กล่าวว่า ตนมองว่าเรื่องดังกล่าวแล้วแต่บุคคล ส่วนตนนั้นเงินเดือนที่ได้เพียงพอแล้ว แต่เหตุที่รัฐบาลต้องปรับเงินเดือนทั้งระบบนั้น เพราะไม่ควรเลือกปฏิบัติ ต้องปรับให้เท่ากัน ทั้งนี้ตนมองว่าการปรับเงินเดือนไม่ได้ทำเพื่อตัวนักการเมืองเอง แต่ยอมรับว่าในการเลือกตั้งสมัยหน้า จะมีส.ส.ที่ถูกเลือกเข้ามาทำหน้าที่ถึงร้อยละ 60 เมื่อถามว่าการปรับขึ้นเงินเดือนดังกล่าวถือว่าเป็นบทสะท้อนความเห็นแก่ตัวของนักการเมือง โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ส.ส.ก็ไม่เคยเรียกร้องให้ปรับขึ้น แต่นายกฯ ในฐานะองค์กรบริหารเป็นผู้ที่ริเริ่ม เมื่อถามย้ำว่า แต่เป็นการฉวยโอกาสนำเงินภาษีของประชาชนที่หาเช้ากินค่ำมาให้นักการเมือง นายเทพไท กล่าวปฏิเสธ พร้อมระบุว่า คนหาเช้ากินค่ำ หรือผู้ค้าหาบเร่นั้นถือว่าเป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องส่งเสริมเพื่อยกระดับอาชีพให้สูงขึ้น ซึ่งการขึ้นเงินเดือนครั้งนี้ ต้องมีการรณรงค์ให้ประชาชนจัดการกับนักการเมืองที่ไม่มีคุณภาพ ซึ่งตนมองว่ามีมากพอสมควร
เมื่อถามว่าขณะนี้ทราบหรือไม่ว่านักการเมืองมีเงินเดือนสูงกว่าประชาชนที่หาเช้ากินค่ำกี่เท่า นายเทพไท กล่าวว่า ตนไม่ทราบ เมื่อถามว่าหากประชาชนที่มีความเห็นคัดค้านจะใช้สิทธิ์ยื่นฟ้องศาลเพื่อให้ยุติการขึ้นเงินเดือน นายเทพไท กล่าวว่า สามารถทำได้ตามช่องทาง แต่จะรับฟังหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับฝ่ายบริหาร ส่วนตัวรับได้หากไม่มีการปรับขึ้นเงินเดือน เมื่อถามว่าหากมีการปรับขึ้นเงินเดือนนักการเมืองชุดปัจจุบันจะสามารถเว้นวรรคเล่นการเมือง 1 สมัยเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าไ ม่ได้ขึ้นเงินเดือนเพื่อตัวเองหรือไม่ นายเทพไท กล่าวว่า ถ้าทำแบบนั้นก็ต้องมีการออกกฎหมายระบุว่าไม่ให้ขึ้นเงินเดือนนักการเมือง
วอน“เพื่อไทย”ยุติจี้กกต.รื้อคดียุบประชาธิปัตย์
นายเทพไท แถลงข่าวเรียกร้องให้พรรคเพื่อไทยยุติการรื้อฟื้นหรือยุให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) หาหลักฐานเพื่อรื้อฟื้นคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ขึ้นมาอีกว่า เพราะหากดูคำวินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแล้วคดีดังกล่าวก็ควรจะยุติ เเละพรรคเพื่อไทยต้องยอมรับความจริงว่าการต่อสู้คดีของพรรคประชาธิปัตย์นั้น ต่อสู้ด้วยความจริง 63 ปีที่ผ่านมา พรรคประชาธิปัตย์เป็นไม้ยืนต้นไม่ใช่ไม้ล้มลุกเหมือนกับพรรคการเมืองบางพรรค การพยายามเยาะเย้ยการทำงานของ กกต. เป็นเสือกระดาษ ทำไมที่ผ่านมา กกต.ให้ใบแดงกับการนักเมืองที่ทุจริตหลายคน ดังนั้นไม่ควรสร้างความสับสนให้เกิดในสังคมว่ากกต.ควรหาพยานใหม่เพื่อฟ้องพรรคประชาธิปัตย์อีก เพราะคดีดังกล่าวได้ยุติแล้ว
กลุ่ม40ส.ว.เตรียมค้านขึ้นเงินเดือนนักการเมือง
น.ส.รสนา โตสิตระกูล ส.ว.กทม. เเละสมาชิกกลุ่ม 40 ส.ว.ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่คณะกรรมการพิจารณาเงินเดือนแห่งชาติ (กงช.) เตรียมเสนอพระราชกฤษฏีกา 9 ฉบับให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาเห็นชอบเพื่อปรับขึ้นเงินเดือนให้กับข้าราชการทุกประเภท เจ้าหน้าที่ของรัฐและองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ รวมถึงส.ว. และส.ส. ในการประชุม ครม.วันที่ 14 ธ.ค.ว่า กลุ่ม 40 ส.ว.ซึ่งเคยแสดงความเห็นคัดค้านที่จะขึ้นเงินเดือนให้กับข้าราชการการเมือง ขณะนี้ก็ยังยึดในความเห็นเดิมคือไม่ควรจะขึ้นอีกต่อไป เพราะเงินเดือนของนักการเมืองขณะนี้ก็สูงกว่าคนปกติทั่วไปแล้ว ทั้งนี้กลุ่ม 40 ส.ว.เตรียมจะหารือในเรื่องดังกล่าวเร็วๆ นี้เพื่อทำหนังสือแสดงเจตจำนงคัดค้าน รวมถึงเสนอแนะให้ครม.ทบทวนการปรับขึ้นเงินเดือนดังกล่าวด้วย เพราะตนคาดว่าประชาชนส่วนใหญ่รับไม่ได้หากขึ้นเงินเดือนแล้วยังเห็นภาพการทำงานส.ส.ที่ทำให้การประชุมสภาล่มบ่อยครั้ง
น.ส.รสนา กล่าวอีกว่า แม้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะให้คำอธิบายว่าการปรับขึ้นเงินเดือนจะเกิดขึ้นหลังจากเลือกตั้งสมัยหน้า แต่ตนมองว่ากระบวนการขึ้นเงินเดือน ควรมีระบบที่สัมพันธ์กับผลงาน กล่าวคือหากการปรับขึ้นเงินเดือนแล้วนำไปสู่การปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานก็ควรจะเปลี่ยนแปลง แต่ไม่ควรปรับขึ้นเงินเดือนโดยเฉลี่ยเท่ากันทุกคนเพราะอาจจะทำให้คนที่ทำงานรู้สึกถึงความไม่เท่าเทียม โดยปกติ ส.ส. และส.ว. มีเงินเดือนประมาณ 60,000 บาท และมีเงินส่วนเพิ่มอีกประมาณ 40,000 บาท หากจะมีการขึ้นเงินเดือนส.ส.และส.ว.จริง มองว่าควรจะนำมาสัมพันธ์กับการเข้าร่วมประชุม เพราะขณะนี้คำว่าขาดหรือลาประชุมมีปัญหามาก เพราะบางคนไม่เคยเข้าประชุมเลยก็มี แต่ก็ไม่ถูกตัดสิทธิ์ความเป็นสมาชิกสภา เพราะสามารถลงชื่อหรือทำใบลาย้อนหลังได้ ดังนั้นหากจะเพิ่มเงินเดือนจริงๆ ควรจะใช้ฐานของเงินส่วนที่เพิ่ม คือ 40,000 บาท เพียงร้อยละ 10 และพิจารณาปรับเพิ่มจากสถิติการลงมติในการประชุมหรือการเข้าประชุม ซึ่งจะทำให้เงินเดือนของแต่ละบุคคลไม่เท่ากัน เพื่อสร้างกำลังใจให้กับนักการเมืองที่ขยันทำงาน และป้องกันไม่ให้นักการเมืองที่มักโดดร่มได้เงินเดือนเท่ากับคนที่ขยันทำงาน ไม่เช่นนั้นสังคมไทยจะไม่ยอมรับ
ผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะนี้ผู้ประกอบการสินค้าบางรายเตรียมปรับราคาสินค้าหลังทราบข่าวการปรับขึ้นเงินเดือน น.ส.รสนา กล่าวว่า ใช่ เพราะการประกาศปรับขึ้นเงินเดือนทั้งระบบนั้นทำให้ระบบเศรษฐกิจผันผวน และราคาสินค้าจะเพิ่มขึ้น โดยที่รัฐบาลไม่สามารถจัดการเรื่องดังกล่าวได้ ซึ่งตนมองว่าหลังจากนี้ไปคนจน หรือคนใช้แรงงานที่ไม่เคยปรับเงินเดือนจะลำบาก ทั้งนี้ที่ผ่านมาในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 48 แต่ค่าแรงถูกปรับขึ้นเพียงร้อยละ 2 เท่านั้น ดังนั้นการปรับเพิ่มเงินเดือนนักการเมืองควรคำนึงด้วยว่าการทำงานคุ้มค่ากับข้าวสุก ข้าวสาร หรือเกลือที่ประชุมคอยอุ้มชูหรือไม่ด้วย หรือต้องมีหลักประกันว่าราคาสินค้าจะไม่ปรับเพิ่มสร้างความเดือดร้อนให้กับคนที่มีรายได้น้อย หากครม.พิจารณาเห็นชอบพระราชกฤษฏีกาทั้ง 9 ฉบับจริง หลังจากนั้นก็จะนำมารายงานให้ที่ประชุมรัฐสภาได้รับทราบ แต่สมาชิกคงไม่สามารถคัดค้านใดๆ ได้ แต่หากประชาชนที่ไม่เห็นด้วยสามารถเข้าชื่อเพื่อฟ้องศาลปกครองเพื่อเพิกถอนพระราชกฤษฎีกาได้ เนื่องจากประชาชนถือว่าเป็นผู้เสียภาษี ที่ต้องนำไปจ่ายให้กับนักการเมือง
เมื่อถามว่าการประกาศขึ้นเงินเดือนทุกระบบนั้น มองหรือไม่ว่าเป็นการปิดปากคนที่ไม่เห็นด้วย น.ส.รสนา กล่าวว่า ตนมองว่าการปิดปากไม่สำคัญเท่ากับต้องการหวังผลทางการเมืองก่อนการเลือกตั้งที่จะมาถึง ซึ่งสอดคล้องกับกรณีที่นายอภิสิทธิ์ ระบุว่าจะมีการยุบสภาในกลางปี 2554 ดังนั้นขณะนี้ทุกพรรคการเมืองต้องแข่งขันเพื่อสร้างภาพให้สังคมเห็น
วิสุทธิ์รอพิจารณากม.ก่อนตอบกรณี"เผดิมชัย"ถูกศาลสั่งล้มละลาย
นายวิสุทธิ์ โพธิแท่น กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวถึงกรณีศาลล้มละลายกลางมีคำพิพากษาให้นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ ส.ส.เขต 1 จ.นครปฐม เป็นบุคคลล้มละลาย ว่า กรณีดังกล่าวยังต้องดูข้อกฎหมายที่ชัดเจนว่า ข้อกฎหมายที่ระบุว่าให้พ้นสภาพส.ส. ให้ถือว่าพ้นสภาพโดยอัตโนมัติ หรือต้องยื่นเรื่องไปที่ใดอีก
โพลชี้ศาลรธน.ตัดสินให้ปชป.รอดถูกยุบ ทำความขัดแย้งเพิ่มขึ้น
สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิตได้สำรวจความคิดเห็นประชาชนหลังจากคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญยกคำร้องการยุบพรรคประชาธิปัตย์ทั้ง 2 คดี ทำให้พรรคประชาธิปัตย์รอดพ้นจากการยุบพรรค โดยประชาชน 44.26% เห็นว่า ผลการตัดสินทั้ง 2 คดีย่อมมีทั้งผู้ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย แต่สุดท้ายก็ต้องเคารพในคำตัดสินของศาล ขณะที่ 29.06% เห็นว่า เหตุผลที่ศาลยกคำร้องของทั้ง 2 คดี ไม่มีน้ำหนักเท่าที่ควร เป็นประเด็นให้สังคมตั้งข้อสงสัย และ 13.78% เห็นว่า คดี 258 ล้านบาท ผลเป็นไปตามที่คาด ประชาชนไม่กระตือรือร้นไม่สนใจที่จะติดตามเหมือนกับคดี 29 ล้านบาท
ส่วนความเห็นของประชาชนเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองจะเป็นอย่างไรนั้น 58.84% เห็นว่าเหมือนเดิมเพราะความขัดแย้งทางการเมืองเป็นเรื่องปกติ การเมืองเป็นเรื่องของอำนาจ และผลประโยชน์ 23.22% เห็นว่าแย่ลง เพราะ อาจเป็นสาเหตุให้ผู้ที่ไม่เห็นด้วยใช้เป็นประเด็นในการโจมตีพรรคประชาธิปัตย์ และนำไปสู่ความเคลื่อนไหวของคนบางกลุ่ม และ17.94 % เห็นว่าดีขึ้น เพราะพรรคประชาธิปัตย์ จะได้สานต่องานเดิม และบริหารบ้านเมืองต่อไปได้อย่างเต็มที่/อยากเห็นบ้านเมืองเกิดการปรองดอง
สำหรับการตัดสินไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์ จะทำให้ความขัดแย้งทางการเมืองเป็นอย่างไรนั้น ประชาชนส่วนใหญ่หรือ 47.92 % เห็นว่าขัดแย้งเพิ่มขึ้น เพราะมองว่าเป็นการตัดสินแบบ 2 มาตรฐาน ไม่มีความยุติธรรม เป็นสาเหตุให้สถานการณ์บ้านเมืองวุ่นวายขึ้น 45.15% เห็นว่าขัดแย้งเหมือนเดิม เพราะความขัดแย้งความแตกแยกทางการเมืองไทยมีมานาน ยากที่จะแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงได้ และ 6.93% เห็นว่าขัดแย้งลดลง เพราะศาลได้ตัดสินเสร็จสิ้นไปแล้ว ต่างฝ่ายความทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด เพื่อประโยชน์ของบ้านเมืองจะดีกว่า
ข่าวจาก คมชัดลึก
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
|
|
|
แจ้งลบกระทู้นี้
อ่าน 1435 |
|
แสดงความคิดเห็น |
โดย กรรมกรข่าว
IP: Hide ip
, วันที่ 12 ธ.ค. 53
เวลา 15:21:25
|