ลิงก์ผู้สนับสนุน
© เนื้อหาข่าว/กระทู้
(19เม.ย.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ที่รัฐสภาถึงเสียงวิจารณ์ต่อแนวคิดการตรึงราคาน้ำมันดีเซลว่า เป็นธรรมดา คาดไว้แล้วว่าจะต้องมีบ้างแต่ตนตัดสินใจเพื่อแก้ปัญหาเรื่องของเศรษฐกิจภาพรวม เป็นเรื่องที่มีความเห็นแตกต่างกันได้ แต่เห็นว่าภาวะเศรษฐกิจและความเดือดร้อนของประชาชนในขณะนี้คุ้มค่าที่จะทำ แต่ยอมรับได้ที่ใครมาบอกว่าไม่คุ้มค่าที่จะทำ ส่วนที่นักวิชาการบางส่วนระบุว่าจะเป็นการเร่งอัตราเงินเฟ้อมากขึ้น นั้นคงไม่ใช่ ถามว่าทำไมเงินจะเฟ้อมากขึ้นในเมื่อเราทำให้ต้นทุนและราคาสินค้ามีโอกาสเพิ่มขึ้นน้อยลง ขณะนี้เราไม่ได้มีปัญหาเงินเฟ้อจากการที่เศรษฐกิจร้อนแรง
“เศรษฐกิจเราเมื่อปีที่แล้วขยายตัวร้อยละ 8 แต่ปีนี้คาดการณ์แล้วว่าจะต้องชะลอตัวลง ฉะนั้นปัญหาของเงินเฟ้อไม่ได้อยู่ที่เรื่องของการจับจ่ายใช้สอยมากเกินไป และระดับราคาน้ำมันที่เราตรึงอยู่ไม่ใช่ที่ประชาชนมองว่าเป็นราคาที่ถูกและใช้กันอย่างฟุ่มเฟือยและเราก็ให้เฉพาะในส่วนที่เป็นดีเซลก็เป็นต้นทุนการขนส่ง มันเป็นเรื่องของการแก้ปัญหาราคาสินค้า ต้องมองภาพรวมตรงนี้”นายก กล่าว
ส่วนการวิจารณ์เรื่องกลไกตลาดนั้นจะเก็บภาษีหรือจะเอาเงินกองทุนมันก็บิดเบือนกลไกตลาดทั้งนั้น ขณะนี้จะเข้าสู่ระดับที่ใกล้เคียงกับการไม่ปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาด ส่วนที่มองว่าเป็นการรักษาคะแนนเสียงก่อนเลือกตั้งนั้นก็ไม่เกี่ยว เพราะจังหวะเวลาเป็นตามที่เรากำหนดแนวทางตั้งแต่ต้น และแม้ไม่ใช่ช่วงใกล้เลือกตั้งตนก็จะตัดสินใจอย่างเพราะเราดูตัวเลขเศรษฐกิจ และเราก็ประเมินสถานการณ์ขณะนี้ ซึ่งดูราคาน้ำมันในตลาดโลกเมื่อเช้าราคาก็เริ่มลงบางส่วน ประเด็นคือต้องประเมินก่อนว่าภาวะปัจจุบันเป็นภาวะชั่วคราวหรือเป็นภาวะที่น้ำมันพุ่งสูงขึ้นเป็นการถาวร ซึ่งตนมั่นใจว่าคนส่วนใหญ่มองว่าเป็นภาวะชั่วคราว ต้องถามต่อว่าเราจะปล่อยให้ภาวะชั่วคราวมาทำให้ราคาสินค้าเพิ่มขึ้นและทำให้เศรษฐกิจไทยสะดุดหรือเราจะหาทางช่วยเหลือ แก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนแล้วให้เศรษฐกิจผ่านภาวะชั่วคราวนี้ไปได้
“จากที่ได้ประเมินแล้วก็ตัดสินใจและมั่นใจว่าเป็นประโยชน์ทั้งเศรษฐกิจและที่สำคัญเป็นประโยชน์กับประชาชน ขณะที่ตัวเลขที่กระทบกับเรื่องของรายได้ของภาครัฐที่โชคดีว่าในช่วง 5-6 เดือน ที่ผ่านมาจัดเก็บรายได้เกินเป้าทำให้เรามีช่องว่างตรงนี้ที่ทำให้เรานำมาใช้ได้ หากเราอยู่ในภาวะที่ว่าการจัดเก็บรายได้มันไม่ได้มีเพิ่มขึ้นมาเราก็ไม่สามารถใช้มาตรการนี้ได้”นายกฯ กล่าวว่า
สำหรับความชัดเจนการขึ้นราคาปุ๋ย นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จะเสนอครม.ในวันพรุ่งนี้ โดยมีกระทรวงการคลังไปดูซึ่งแนวทางที่เป็นข้อสรุปของนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกรัฐมนตรี ยังไม่ได้รายละเอียดทั้งหมด แต่ไม่น่าจะใช้แนวทางของเรื่องของธงฟ้าและชดเชยส่วนต่าง ส่วนหลังครม.ราคาปุ๋ยจะขึ้นทันทีหรือไม่นั้นพรุ่งนี้จะพิจารณา
ส่วนที่ขณะนี้ราคาหมู ไข่ไก่ ได้ขยับราคาขึ้นแล้ว นายกฯ กล่าวว่า สาเหตุสินค้าแพงมาหลายด้าน แต่ตัวหลักคืออาหารและพลังงาน อาหารบางทีก็คุมยากก็ต้องแก้อีกทางด้วยการเพิ่มรายได้ให้ประชาชน ซึ่งมีแผนดำเนินการ ส่วนพลังงานยังพอควบคุมได้ หากไม่ควบคุมต้นทุนสินค้าทุกตัวก็จะขึ้นซ้ำเติมประชาชนมากกว่านี้จึงต้องตัดสินใจตามกำลังที่มีอยู่ หากน้ำมันพุ่งสูงเป็น 150-200 เหรียญสหรัฐ แน่นอนว่ารัฐบาลก็ต้องปล่อย แต่หากเราประเมินเป็นภาวะความชั่วคราว-ถาวร ฐานะการเงินการคลัง สถานะเศรษฐกิจ การตัดสินใจน่าจะทำให้ราบรื่นที่สุดในเชิงการบริหารและลดความเดือดร้อนของประชาชน
“น้ำมันขึ้นปล่อยสินค้าขึ้น ถามว่าเวลาน้ำมันลงสินค้าลงหรือไม่ เราผ่านเหตุการณ์แบบนี้มาหลายครั้งก็เห็นชัดเจนแล้ว”นายกฯ กล่าว
เมล์เขียวเชียงใหม่ขานรับประชาชนได้ประโยชน์
นายสมชาย ทองคำคูณ กรรมการผู้จัดการบริษัท ไทยพัฒนกิจขนส่ง จำกัด ผู้ประกอบการรถโดยสารประจำทางรายใหญ่พื้นที่ภาคเหนือตอนบนหรือเมล์เขียว เปิดเผยกรณีที่กระทรวงพลังงานและกระทรวงการคลังเห็นชอบร่วมกันให้มีการยกเว้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล เพื่อตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่เกินลิตรละ 30 บาท โดยจะนำเสนอให้ครม.เห็นชอบพรุ่งนี้ (20) ว่า มาตรการอุ้มราคาดีเซลนี้จะทำให้ประชาชนผู้ใช้รถขนส่งสาธารณได้รับประโยชน์เป็นอย่างมาก จะได้ใช้บริการขนส่งมวลชนในราคาเดิม เพราะไม่มีการปรับราคาเพิ่มจากผู้ประกอบการอันเนื่องมาจากต้นทุนการเดินรถ การดำเนินงานที่เพิ่มมากขึ้น ในส่วนของผู้ประกอบการขนส่งสาธารณะเองก็ไม่ต้องแบกรับภาระต้นทุนพลังงานในการเดินรถเพิ่ม สามารถจำหน่ายตั๋วรถได้ในราคาเดิม
สำหรับเมล์เขียวใช้น้ำมันดีเซลในการเดินรถเดือนเฉลี่ยละกว่า 1 ล้านลิตร เดินรถในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน ทั้งภายในจังหวัดและข้ามจังหวัดใกล้เคียง เช่น เชียงราย แพร่ น่าน ฯลฯ ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมาก หากมีการปรับราคาน้ำมันดีเซลขึ้นลิตรละ 1 บาท จะทำให้ต้นทุนในการเดินรถเพิ่ม 1 ล้านบาท จะสร้างความเดือดร้อนให้กับทั้งเราเองและประชาชน เพราะต้องมีการขึ้นค่าโดยสาร ซึ่งการตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่เกินลิตรละ 30 บาท ถือว่าช่วยผู้ประกอบการธุรกิจเดินรถได้เป็นอย่างมาก
"ก่อนหน้านี้ราคาน้ำมันดีเซลก็มีการปรับขึ้นมาแล้วลิตรละกว่า 2 บาทจนมาอยู่ที่ลิตรละ 30 บาทในตอนนี้ เราเองก็ต้องแบกรับภาระค่าน้ำมันดังกล่าวเดือนละกว่า 2 ล้านบาท แต่ก็ไม่มีการปรับค่าโดยสารเพิ่ม เพราะไม่อยากซ้ำเติมประชาชน โดยเฉพาะประชาชนในระดับกลางและระดับล่างซึ่งเป็นฐานผู้ใช้บริการส่วนใหญ่ หากมีการปรับราคาค่าโดยสารก็จะกระทบกับคนส่วนใหญ่ ตอนนี้ทำได้เพียงปรับเที่ยววิ่งให้ลดน้อยลง หากรถโดยสารที่มีผู้ใช้บริการเฉลี่ยน้อยกว่า 70% ก็จะถ่วงเวลาออกไปเพื่อรอให้ผู้ใช้บริการเต็มรถก่อน" นายสมชาย กล่าว
ทั้งนี้ การที่รัฐมีมาตรการในการอุ้มราคาน้ำมันดีเซลต่อก็มีข้อดีคือ ทำให้ระบบขนส่งเชิงพาณิชย์ขับเคลื่อนต่อไปได้ ภาระต้นทุนไม่เพิ่มมากกว่าที่เป็นอยู่ ประชาชนก็จะไม่ได้รับความเดือดร้อนจากการปรับอัตราค่าโดยสาร แต่ต้องยอมรับว่ามีข้อเสียอยู่ เพราะราคาที่ตรึงอยู่นี้ไม่เป็นไปตามกลไกตลาด หากวันใดรัฐไม่สามารถแบกรับภาระชดเชยส่วนต่างได้และปล่อยให้ราคาน้ำมันเป็นไปตามราคาตลาดโลกของเมล์เขียวเองจะแบกรับภาระได้ในระยะสั้นเท่านั้น ต้องมีการปรับค่าโดยสารขึ้นอย่างแน่นอน ซึ่งก็ต้องเป็นหน้าที่ของรัฐในการที่จะหามาตรการเข้ามาดูแลเพิ่มเติม
ที่มา คมชัดลึก
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
|