รพ.มหาราชนครเชียงใหม่ เร่งช่วยเหลือเด็กกะเหรี่ยงหัวโต อายุ 5 เดือนเศษ หลังพบว่ามีน้ำในสมองถึง 4.3 กิโลกรัม
เมื่อ เวลา 10.00 น.วันที่ 21 มิ.ย. รศ.นพ.วัฒนา นาวาเจริญ ผอ.โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ นพ.ธนัฐ วานิยะพงศ์ แพทย์ประจำภาควิชาประสาทศัลยศาสตร์ โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ ได้แถลงกรณีมีเด็กหัวโตผิดปกติเข้ามาทำการรักษาที่โรงพยาบาลว่า ครอบครัวของเด็กที่มีอาการผิดปกติ หรือเรียกว่าโรคน้ำหล่อเลี้ยงในสมองนั้น เด็กที่ป่วยคือ ด.ญ. มนรดา เชิดชัยมั่น อายุ 5 เดือน วัดขนาดรอบศีรษะได้ 34 นิ้ว เฉพาะศีรษะมีน้ำหนัก 4.3 กิโลกรัม ซึ่งเป็นลูกสาวของนายอุทิศ เชิดชัยมั่น อายุ 30 ปี และนางอรษา เชิดชัยมั่น อายุ 27 ปี ทั้งคู่เป็นชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง และเป็นลูกจ้างชั่วคราวของกรมชลประทาน อ.ขุนยวม จ.แม่ฮ่องสอน
รศ.นพ.วัฒนา กล่าวว่า สำหรับ ด.ญ.มนรดา นั้นเป็นบุตรคนที่สองของครอบครัวนี้ โดยคนโตนั้นมีอาการปกติ แต่ ด.ญ. กมนรดาหลังจากคลอดออกมา ก็มีอาการผิดปกติคือสมองเริ่มโตขึ้นเรื่อยๆ ทางครอบครัว ซึ่งมีฐานะยากจน ก็ได้ไปที่มูลนิธิสากลเพื่อคนพิการ จ.แม่ฮ่องสอน ซึ่งทางมูลนิธินั้น ได้มีความเห็นว่า เด็กที่ผิดปกติแบบนี้น่าจะได้รับการรักษาให้ทันเวลา
ด้าน นพ.ธนัฐ วานิยะพงศ์ แพทย์ประจำภาควิชาประสาทศัลยศาสตร์ เปิดเผยว่า โรคน้ำในสมองนั้น เป็นโรคที่พบว่าเกิดจากการผิดปกติของร่างกายตั้งแต่เกิด ซึ่งใน 1 ปี ก็จะพบผู้ป่วยเฉพาะในเขตพื้นที่ภาคเหนือประมาณเกือบ 20 ราย คิดเป็น 1 เปอร์เซ็นต์ของเด็กที่เกิด ซึ่งอาการของโรคนั้น เป็นอาการที่น้ำขึ้นไปเลี้ยงสมองไม่ได้ เพราะท่ออุดตัน ปกติแล้วน้ำจะต้องหมุนเวียนในร่างกาย แต่พอท่อน้ำเลี้ยงอุดตัน ก็ทำให้น้ำไม่สามารถไหลกลับลงมาได้ ก็ไปค้างอยู่ที่สมอง และเด็กนั้นกระโหลกจะปิดเมื่ออายุ 1 ปี แต่เมื่อมีน้ำในสมองมากขึ้น จนศีรษะโต ก็ทำให้กระโหลกศีรษะนั้นไม่สามารถที่จะมาปิดกันได้ เพราะมีน้ำขั้นระหว่างกลางอยู่ สำหรับแนวทางการรักษาต้องทำการผ่าตัด และใส่ท่อเข้าไป โดยจะต้องใส่ท่อยาวจากศีรษะลงไปถึงท้อง เพื่อให้ท้องทำหน้าที่ดูดซึมน้ำหล่อเลี้ยงดังกล่าว โดยผู้ที่เป็นโรคนี้จะต้องใส่ท่อนี้ไปตลอดชีวิต และเมื่อโตขึ้น จะต้องมีการมาตรวจและเปลี่ยนท่อใหม่ เพื่อให้เข้ากับขนาดของร่างกาย
ทั้งนี้ทีมแพทย์จะเริ่มการผ่าตัดภายใน 1 - 2 วันนี้ และนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลเพื่อดูอาการหลังการผ่าตัดใส่ท่ออีกประมาณ 1 อาทิตย์ ก็จะให้กลับไปพักฟื้นที่บ้าน แล้วก็นัดมาตรวจดูอาการอย่างต่อเนื่อง ส่วนสภาพสมองที่บวมโตนั้น ก็จะค่อยๆ ลดลงไปที่ละนิด ซึ่งยังบอกไม่ได้ว่าจะมากน้อยแค่ไหน แต่เท่าที่ผ่านมานั้นอาการของโรคนี้หากใส่ท่อเข้าไปใหม่ เด็กก็จะสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ ถึงแม้จะมีศีรษะโตกว่าคนอื่นเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่ได้มากถึงขนาดที่เป็นอยู่นี้
นายเอนก ไชยวงค์ ผอ.ศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัดแม่ฮ่องสอน และเป็นผู้ดูแลสากลเพื่อคนพิการ จ.แม่ฮ่องสอน เปิดเผยว่า ในมูลนิธิที่ดูแลอยู่นั้น ก็จะมีเด็กที่ป่วยหลายราย และดูแลผู้พิการจำนวนมาก อย่างในกรณีของเด็กหญิง ก. นี้ก็มีด้วยกันอยู่ 2 คน ซึ่งอีกคนหนึ่งนั้น เตรียมนำตัวมารักษาเช่นกัน แต่ติดปัญหาตรงที่ไม่มีสัญชาติไทย ซึ่งทางโรงพยาบาลกับทางมูลนิธิก็กำลังปรึกษาหารือกันในการช่วยเหลืออยู่ว่า จะทำอย่างไรในการส่งตัวมารักษา ซึ่งตัวพ่อแม่ของ เด็กหญิง ก. เป็นเพียงลูกจ้างชั่วคราวเท่านั้น รายได้น้อย การนำเด็กมารักษาต้องใช้ค่าเดินทางและค่ารักษาสูง แต่ทางมูลนิธิและทางโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ ก็ได้เข้ามาช่วยเหลือในเรื่องนี้ แต่หากผู้ที่สนใจที่ต้องการช่วยเหลือเด็กพิการในลักษณะนี้ ก็สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลที่มูลนิธิฯ ได้ตามหมายเลขโทรศัพท์ 081 - 7832126
ที่มา เดลินิวส์
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=420&contentID=146564