และเธอผู้นี้ก็คือ "เหอผิง" เด็กสาววัย 20 ปี ที่เกิดมาในครอบครัวยากจน ในตำบลเฉิงถานเจียง เมืองหลิวหยาง มณฑลหูหนาน นอกจากความแร้นแค้นจะทำให้เธอไม่ได้มีชีวิตที่สุขสบายเหมือนคนอื่นแล้ว เธอ ยังต้องรับภาระอันหนักอึ้งในการเลี้ยงดูอีก 3 ชีวิตในครอบครัว อันประกอบด้วย "พ่อ" ซึ่งประสบอุบัติจนกลายเป็นคนพิการ และไม่สามารถทำงานได้ "แม่" ซึ่งป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับระบบประสาท และ "น้องชาย" ที่อายุน้อยกว่าเธอ 12 ปี ซึ่งเกิดมาพร้อมกับโรคหัวใจตั้งแต่กำเนิด
แทบไม่น่าเชื่อว่า "เหอผิง" ต้องออกไปทำงานพิเศษม้วนกระดาษห่อประทัดในโรงงาน ตั้งแต่เธออายุได้เพียง 5 ขวบ เพื่อหาเงินมาจ่ายค่าเทอมโรงเรียนประถม เนื่องจากรายได้ในบ้านล้วนหมดไปกับการจ่ายเป็นค่ารักษาพยาบาลของพ่อและแม่ ซึ่งผู้อำนวยการของโรงเรียนที่เหอผิงเล่า เรียนอยู่ บอกว่า เหอผิงเป็นเด็กที่เรียนเก่งมาก และตั้งใจเรียนเสมอ เมื่อถึงเวลาจ่ายค่าเทอม "เหอผิง" จะกำเงินที่ได้มาจากการทำงานในโรงงานประทัดมาจ่ายให้ ด้วยความรักเรียน และกลัวว่าวันใดวันหนึ่งจะไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสืออีกต่อไป
ต่อมาในปี 2008 "เหอผิง" ในวัย 17 ปี ต้องลุกขึ้นมาต่อสู้กับชะตากรรมอีกครั้ง เมื่อ "เหอหรง" พ่อของเธอป่วยเป็นเลือดออกในสมอง และต้องใช้เงินรักษาจำนวนมหาศาล "เหอผิง" จำเป็นต้องพักการเรียนชั่วคราว เพื่อออกมาเรี่ยไรเงินบริจาคจากองค์กรการกุศลของรัฐ รวมทั้งญาติ ๆ เพื่อไปเป็นค่ารักษาพยาบาลให้พ่อ ซึ่งเธอก็ทำสำเร็จ แต่ทว่า อาการเลือดออกในสมองของ "เหอหรง" ได้ส่งผลกระทบไปยังเส้นประสาทขาทั้งสองข้าง จนทำให้เขาไม่สามารถเดินได้อีกต่อไป และไม่สามารถออกไปทำงานหาเงินมาต่อลมหายใจให้ครอบครัวได้อีก ซึ่งวันนั้น "เหอผิง" ได้ปลอบพ่อที่กำลังร้องไห้ว่า
"ชีวิตยังมีความหวัง ขอเพียงพวกเราสองพ่อลูกยังเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ก็ไม่มีอะไรที่พวกเราจะก้าวข้ามไปไม่ได้"
หลังจากนั้น "เหอหรง" ก็ยังต้องเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลเป็นครั้งที่ 2 ด้วยอาการเดียวกัน ครั้งนั้นผู้เป็นพ่อได้เรียกลูกสาวมาข้างเตียงและบอกกับเธอในเชิงสั่งเสีย ว่า "ถ้าหนูเป็นลูก สาวของพ่อ ต้องหาทางรักษาน้องชายให้หายจากโรคหัวใจให้ได้" ประโยคนี้เองที่ "เหอผิง" จดจำไว้ในใจเสมอมา และเริ่มทำทุกวิถีทางที่จะช่วยเหลือ "เหอจวิน" น้องชายให้จงได้ กระทั่งวันหนึ่งเธอได้ยินข่าวที่องค์กรการกุศลร่วมมือกับโรงพยาบาลจัด โครงการผ่าตัดโรคหัวใจแต่กำเนิดฟรี 100 คน "เหอผิง" จึงไม่รอช้ารีบเดินทางไปขอความช่วยเหลือจากโรงพยาบาลดังกล่าว และในที่สุด น้องชายของเธอก็ได้รับการผ่าตัดรักษาโรคหัวใจ
และ ด้วยความที่ "เหอผิง" เป็นคนรักเรียน เธอจึงสามารถสอบติดภาควิชาภาษาต่างประเทศแห่งมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยีหูหนานได้สำเร็จในช่วงปี 2009 แต่ ความดีใจของ "เหอผิง" ก็เกิดขึ้นพร้อมกับความกังวลที่กลัวว่าจะไม่มีใครดูแลน้องชายที่แม้อาการของ โรคหัวใจจะดีขึ้นมาก แต่กลับป่วยเป็นโรคซึมเศร้า เพราะต้องทนอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แสนจะหดหู่
"เห อผิง" ตัดสินใจพาน้องชายออกมาอยู่ด้วยกันในห้องเช่าเล็ก ๆ ข้างโรงเรียนประถมที่เธอได้ไปขอร้องให้รับน้องชายเข้าเรียน ซึ่งเจ้าของห้องเช่าก็เห็นใจ "เหอผิง" จึงลดค่าเช่าให้ครึ่งหนึ่ง ทำให้ "เหอผิง" ได้ดูแลน้องชายอย่างใกล้ชิด โดยเธอยอมอด เพื่อให้น้องได้กินอิ่ม จะได้เจริญเติบโตเป็นเด็กแข็งแรง
ขณะเดียวกัน การเรียนของ "เหอผิง" ก็อยู่ในเกณฑ์ดีมาก โดยเธอเคยเข้าประกวดการพูดภาษาจีน และภาษาอังกฤษของมหาวิทยาลัย และได้รับรางวัลชนะเลิศ นอกจากนี้เธอยังมีความสามารถพิเศษทั้งการเป็นนักร้องที่มีน้ำเสียงไพเราะน่า ฟัง อีกทั้งยังเป็นนักโต้วาที และพิธีกร ซึ่งความสามารถต่าง ๆ เหล่านี้ ก็ทำให้มหาวิทยาลัยมอบประกาศนียบัตรหลายสิบใบให้กับเธอ
ทุก วันนี้ "เหอผิง" ยังรับภาระทำงานพิเศษตั้งแต่เช้ายันตีหนึ่งรวมถึง 7 งาน ไม่ว่าจะรับจ้างทำความสะอาดตึกเรียนช่วงพักกลางวัน รับจ้างสอนพิเศษ เป็นเด็กเสิร์ฟ ล้างจาน ฯลฯ เพื่อหารายได้มาดูแลน้องชาย และส่งเงินกลับไปให้พ่อแม่ที่บ้านทุก ๆ เดือน นอกจากนี้ เมื่อถึงเทศกาลพิเศษ เด็กสาวคนนี้ก็จะซื้อเสื้อผ้าใหม่ ๆ ส่งกลับไปให้พ่อแม่ใช้อยู่เสมอ ส่วนตัวเธอเองนั้นพอใจแล้วกับเสื้อผ้าเก่า ๆ ที่ได้รับบริจาคมา
ยิ่ง กว่านั้น เธอยังแบ่งปันน้ำใจอันงดงามของเธอให้กับผู้คนในสังคมที่ประสบกับชีวิตที่ยาก ลำบาก อย่างเช่น เมื่อเธอได้อ่านหนังสือพิมพ์แล้วเจอข่าวเด็กนักเรียนชั้นมัธยมคนหนึ่งประกาศ ขอรับบริจาคเงินกว่าแสนหยวน เพื่อช่วยให้มารดาของเขาเข้ารับการผ่าตัด ครั้งนั้น "เหอผิง" ไม่รอช้า เธอตัดสินใจบริจาคเงินจำนวน 1,600 หยวน จากที่เธอมีเก็บอยู่เพียง 3,000 หยวน ให้กับเด็กหนุ่มคนดังกล่าวเพื่อสมทบทุนค่ารักษาพยาบาลทันที และเมื่อเด็กหนุ่มทราบว่า พี่สาวที่บริจาคเงินให้เธอนั้นเป็นคนที่มีฐานะยากจนกว่าเขาเสียอีก เด็กหนุ่มจึงได้ลงประกาศขอบคุณ "เหอผิง" ผ่านทางหนังสือพิมพ์ที่ "เหอผิง" อ่านเจอข่าวของเขา
"เหอผิง" บอกว่า ที่เธอบริจาคเงินให้เด็กหนุ่ม เพราะรู้ดีว่าเขากำลังต้องการความช่วยเหลือ ดังเช่นในยามที่เธอลำบาก เธอก็ได้น้ำใจจากผู้อื่นที่หยิบยื่นมาให้เธอเช่นกัน เธอจึงมองว่า หากทุกคนในสังคมมีความรักและเมตตาต่อกัน สังคมนี้ก็จะเปลี่ยนไปเป็นสังคมที่มีแต่ความดีงาม
"ช่วง เวลาที่ยากลำบากที่สุดได้ผ่านพ้นไปแล้ว ฉันรู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างกำลังค่อย ๆ เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น" เหอผิง ทิ้งท้ายด้วยความหวังและความเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยม