• ตำนาน ''พระเสตังคมณี(พระแก้วขาว)'' บทเรียนอันยิ่งใหญ่ ของความแตกแยกในนครหริภุญชัย |
โพสต์โดย โน้ต cmprice , วันที่ 02 ก.ค. 58 เวลา 14:26:21 IP: Hide ip |
กด like เพื่อติดตามข่าวสารดีๆ จาก cmprice.com VVVVVV
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
© เนื้อหาข่าว/กระทู้
ภาพพระเสตังคมณี(พระแก้วขาว) ณ วัดเชียงมั่น จ.เชียงใหม่ ได้ถูกล้อมกรงเหล็กไว้หลายชั้น อย่างแน่นหนา
ภาพโดย Prawit Ratchagit
ในปัจจุบันนี้ พระแก้วขาว(เสตังคมณี) ประดิษฐาน ณ วัดเชียงมั่น จ.เชียงใหม่ เพื่อเป็นมิ่งขวัญของชาวเชียงใหม่เป็นปูชนียวัตถุ
ชิ้นสำคัญของชาวลานนาไทย และเป็นบทเรียนอันสำคัญในประวัติศาสตร์ของนครหริภุญชัย(ลำพูน) ที่ต้องเสียพระแก้วขาว อันเป็นพระประจำตัวพระนางเจ้าจามเทวี และพระคู่บ้านคู่เมืองนครหริภุญชัย ไปเพราะความแตกแยกสามัคคี จึงทำให้ พระยามังรายนำพระแก้วขาวไปประดิษฐาน ณ เมืองเชียงใหม่ เพราะ หอพระพระแก้วขาวไม่มีร่องรอยการถูกเผาไหม้ แต่บริเวณรอบๆ นั้นถูกเพลิงเผาผลาญพินาศหมดสิ้น
ต่อมายุคพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช เอาไปไว้ที่ล้านช้าง(ลาว) เอาไป 3 องค์คือ พระแก้วขาว พระแก้วมรกต พระพุทธสิหิงค์ (พระสิงค์) และ ต่อมารัชกาลที่ ๑ ตีได้เวียงจันทร์ ก็ได้พระแก้วมรกต พระแก้วขาวและพระพุทธสิหิงค์ (พระสิงค์) มาด้วย จึงทรงมีดำริว่า "องค์เขียวเอาไปบางกอก องค์ขาวเอามาไว้ให้ชาวล้านนาเจ้าของเดิม" ดังนั้นพระแก้วขาวจึงได้กลับไปสู่ดินแดนล้านนาได้
แต่พระแก้วขาว ณ เวลานี้ ยังมีความเห็นจากนักวิชาการหลายท่านเหลือเกินว่า อาจจะไม่ใช่ของจริง เพราะ พระแก้วขาว ได้ระหกระแหน ไปในหลายเมืองมากมาย จนเป็นตำนานเล่าขานสืบมา
อดีตคืออดีต เราไม่สามารถแก้กลับคืนได้ เราจึงเอาอดีตมาเป็นบทเรียนไว้สอนคนรุ่นๆ ต่อไป
ตำนานภาพพระเสตังคมณี(พระแก้วขาว)
พระแก้วขาวหรือพระเสตังคมณีเป็นพระพุทธรูปที่นับถือกันว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ สามารถคุ้มครองป้องกันอันตรายและอำนวยความ
สุขสวัสดิ์มงคลแก่ผู้ที่เคารพสักการะและได้ปรากฏว่าในอดีตกาลเป็นพระพุทธรูป สำหรับบูชา ประจำพระองค์ของพระนางจามเทวี
ปฐมกษัตริย์ผู้ครองนครหริภุญชัยและพระเจ้ามังรายมหาราช(หรือพระเจ้ามังราย) ปฐมวงศ์มังราย ผู้สถาปนาอาณาจักรลานนาไทย
และกษัตริย์ผู้ครองนครหริภุญชัยและนครเชียงใหม่ ในยุคต่อๆมาก็นับถือเป็นพระพุทธรูปบูชาประจำพระองค์ทั้งสิ้น
พระพุทธรูปองค์ ในตำนานได้กล่าวถึงการสร้างไว้ว่าเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานล่วงแล้วได้ ๗๐๐ ปี ในวันเพ็ญเดือน ๗ พระสุ
เทวฤๅษีได้เอาดอกจำปา ๕ ดอก ขึ้นไปบูชาพระจุฬามณียังดาวดึงษ์สวรรค์ ได้พบปะสนทนาด้วยพระอินทร์ พระอินทร์จึงบอกกล่าว
แก่สุเทวฤๅษีว่า ปีนี้ในเดือนวิสาขะเพ็ญที่ลวะรัฏฐะจะสร้างพระพุทธปฏิมากรด้วยแก้วขาว ครั้งสุเทวฤๅษีกลับจากดาวดึงษ์เทวโลก
แล้วจึงไปสู่เมืองละโว้ ขณะนั้น พระยารามราชเจ้าเมืองละโว้กับพระกัสสปเถระเจ้าปรารภการที่จะสร้างพระแก้ว ซึ่งพระอรหันต์ไปได้
แก้วขาวบริสุทธิ์บุษยรัตน์มาจากจันทเทวบุตร แล้วขอพระวิศนุกรรมมาเนรมิต สำเร็จรูปเป็นองค์พระพุทธปฏิมากรสุเทวฤๅษีและ
ฤๅษีองค์อื่นๆ ก็ได้ประชุมช่วยในการสร้างองค์พระด้วย ครั้งสำเร็จแล้วก็บรรจุพระบรมธาตุ ๔ องค์ ไว้ในพระโมลี(กระหม่อม) ๑
พระนลาต(หน้าผาก)๑ พระอุระ (หน้าอก)๑ พระโอษฐ์(ปาก)๑ รวม ๔ แห่ง
เมื่อสร้างเสร็จแล้ว พระแก้วขาวก็ได้ประดิษฐานอยู่ที่เมืองละโว้สืบมาเป็นเวลานาน มาถึงสมัยพระฤๅษีสร้างนครหริภุญชัยขึ้นแล้ว ใช้
ให้ควิยะอำมาตย์ ไปเชิญพระนางจามเทวี ซึ่งเป็นราชธิดาของพระเจ้ากรุงละโว้มาครองเมืองหริภุญชัย พระนางจึงขออนุญาตจากพระ
ราชบิดานิมนต์พระภิกษุสงฆ์สามเณร และพระเสตังคมณี(พระแก้วขาว) มาเป็นพระพุทธรูปบูชาประจำพระองค์ พระแก้วจึงได้ประดิษ
ฐาน ณ นครลำพูนแต่นั้นมาเป็นเวลานานหลายร้อยปี บรรดากษัตริย์ที่ครองเมืองหริภุญชัย(ลำพูน) ทั้งวงศ์เดียวกับพระนางจามเทวี
และต่างวงศ์ ก็ต่างได้เคารพบูชาเป็นประจำองค์มาทุกวงศ์ และได้สร้างหอประดิษฐานไว้ในพระราชวัง
พระเสตังคมณีประดิษฐานอยู่ ณ เมืองลำพูน ตลอดมาจนกระทั่งรัชสมัยของพระยายีบาเป็นกษัตริย์ครองเมือง ในครั้งนั้นพระเจ้า
มังรายซึ่งเป็นเจ้าครองนครเงินยวง(เชียงแสน) ได้ยกกองทัพไปราบบ้านเล็กเมืองน้อยต่างๆ ที่ยังแข็งเมืองอยู่ให้เข้ารวมอยู่ในอำ
นาจของพระองค์จนหมดสิ้นแล้ว แต่นครหริภุญชัยในครั้งนั้นมีกำลังเข้มแข็งมาก พระองค์จึงคิดกลอุบายให้ขุนอ้ายฟ้าราชวัลลภคน
สนิทไปทำการจารกรรมนานถึง ๗ ปี ขุนอ้ายฟ้าเห็นได้โอกาสแล้วจึงส่งข่าวไปให้พระเจ้ามังรายให้ยกกองทัพมาตีเมืองหริภุญชัย
โดยด่วน พระเจ้ามังรายยกกองทัพมาตีเมืองหริภุญชัยในปีพุทธศักราช ๑๘๒๔ ชาวเมืองที่ไม่ยอมทิ้งเมืองเข้าทำการต่อสู้อย่างเข้ม
แข็งดุเดือด กองทัพมังรายต้องใช้ธนูไฟเพลิงยิงเข้าไปทำให้เกิดเพลิงไหม้ทั้งเมือง ในที่สุดก็พ่ายแพ้แก่กองทัพพระเจ้ามังราย
เมื่อยกเข้าเมืองได้แล้ว พระเจ้ามังรายจึงเสด็จออกตรวจดูความเสียหายสิ่งที่ทำให้พระองค์ทรงประหลาดพระทัยที่สุดคือหอพระซึ่ง
อยู่ในบริเวณพระราช วังของพระยายีบาหาได้ถูกเพลิงไหม้ไม่ แต่บริเวณรอบๆ นั้นถูกเพลิงเผาผลาญพินาศหมด พระองค์จึงเข้าไป
ทอดพระเนตรดู เห็นพระแก้วขาวสถิตอยู่ ณ ที่นั้น ก็เกิดมีพระราชศรัทธาปสาทะเป็นอันมากจึงอัญเชิญองค์พระแก้วขาวมาประดิษ
ฐาน ณ ที่ประทับของพระองค์ ทรงเคารพสักการะบูชาเป็นพระพุทธรูปประจำพระองค์แต่นั้นมา
ต่อเมื่อพระองค์มาสร้างนครเชียงใหม่เป็นราชธานี เมื่อปีพุทธศักราช ๑๘๓๙ ได้อัญเชิญพระแก้วขาว มาประดิษฐานในพระราชวังจน
ตลอดรัชกาลของพระองค์ แม้ในเวลาเสด็จออกศึก ก็ทรงนิมนต์พระแก้วขาวไปด้วยทุกครั้ง พระองค์มิได้ประมาทในพระแก้วขาวเลย
เมื่อพระองค์สวรรคตแล้ว พระแก้วขาวก็ยังคงประดิษฐานอยู่ในเมืองเชียงใหม่ตลอดมาจนกระทั้งถึงรัชกาลของพระเจ้าติโลกราช รัชกาลที่ ๑๑ แห่งราชวงศ์มังราย พระองค์ทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาอย่างยิ่ง พระองค์ได้ทำนุบำรุงการพระพุทธศาสนาให้
เจริญรุ่งเรืองยิ่งกว่ายุคใดๆ ทั้งสิ้น พระองค์โปรดให้หมื่นด้ามพร้าคตซึ่งเป็นผู้อำนวยการสร้างถาวรวัตถุในวัดวาต่างๆ และสร้างหอ
พระแก้วมรกตและพระแก้วขาวไว้ในพระอารามราชกุฏาคารเจดีย์(คือเจดีย์หลวง) ในปีพุทธศักราช ๒๐๒๒ ในยุคนี้พระพุทธรูปสำคัญ
หลายองค์ ได้มาประดิษฐานในนครเชียงใหม่
พระแก้วขาวได้ประดิษฐานอยู่ที่วัดเจดีย์หลวง ในรัชสมัยของพระเจ้าติโลกราช มาตราบถึงรัชสมัยของพระยอดเชียงรายราชนัดดา
ทรงสืบสันติวงศ์ต่อมา ในสมัยนี้มีเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับพระแก้วขาวคือ ในครั้งนั้นมีราชบุตรพระยาเมืองใต้ชื่อสุริยะวังสะบวชเป็น
ภิกษุขึ้นมาจำพรรษาอยู่วัดเวฬุวัน(กู่เต้า) ในระหว่างปีพุทธศักราช ๒๐๓๐ - ๒๐๔๙ ได้มารักใคร่ชอบพอกับนางท้าวเอื้อยหอขวาง
ราชธิดาของพระเจ้าติโลกราชเป็นอย่างยิ่ง สุริยะวังสะภิกขุมีความประสงค์อยากได้พระแก้วขาว ซึ่งประดิษฐานอยู่ที่วัดเจดีย์หลวงจึง
รบเร้าขอให้นางท้าวเอื้อยหอขวางจัดการให้ นางท้าวเอื้อยหอขวางจึงทำกลอุบายว่าป่วยไข้ ขออาราธนาพระแก้วขาวมาสักการะบูชาใน
ที่อยู่ของตนเพื่อหายป่วยไข้ ครั้นนานหลายวันเข้า พันจุฬาผู้รักษาหอพระจึงมาขอเอาพระแก้วคืน นางท้าวเอื้อยก็ให้ทองคำพันหนึ่งเป็น
สินบนปิดปากพันจุฬา แล้วนางท้าวเอ้อยจึงเอาพระแก้วขาวใส่ไว้ในขอูปแล้วใส่ถุงคลุมมิดชิดดีแล้ว ใช้ให้อ้ายกอนทาสชายนำไปถวาย
แก่สุริยะวังสะภิกขุ สุริยะวังสะภิกขุจึงเอาไม้เดื่อมาแกะเป็นองค์ แล้วเอาพระแก้วขาวใส่ไว้ในองค์พระไม้เดื่อกลวงภายในแล้วก็พาหนี
ไปเมืองใต้เสีย
ครั้นอยู่ต่อมาในปีพุทธศักราช ๒๐๓๕ พระยอดเชียงรายราชให้ทรงสร้างพระอารามขึ้นในทิศตะวันตกเฉียงใต้เมือง ให้ชื่อว่าวัด
ตะโปทาราม(วัดรำพึง) ด้วยมีพระประสงค์จะเอาพระแก้วขาวไปประดิษฐานไว้ที่นั้น เมื่อได้ทราบข่าวว่าพระแก้วหายไปจึงสืบสวน
ได้ความ จากอ้ายกอนทาสของนางท้าวเอ้อยหอขวางว่า นางได้ใช้ให้ตนนำไปถวายแก่สุริยะวังสะภิกขุ และสุริยะวังสะภิกขุก็ได้นำพระ
หนีไปจากเมืองแล้ว พระยอดเชียงรายได้ใช้ราชฑูตเชิญเครื่องราชบรรณาการและราชสาส์น ไปถวายพระเจ้ากรุงศรีอยุธยาเพื่อขอ
พระแก้วคืน พระเจ้ากรุงศรีอยุธยาตอบพระสาส์นมาว่า สืบหาก็ไม่ได้ความ และหาที่ไหนก็ไม่พบ พระยอดเชียงรายราชขัดพระทัย จึง
ยกกองทัพไปยังกรุงศรีอยุธยา อยู่ได้เดือนนึงจึงได้พระแก้วขาวคืนแล้ว จึงเลิกทัพกลับมา พระแก้วขาวจึงได้ประดิษฐาน ณ เมืองเชียง
ใหม่ตามเดิม
ที่มา http://www.danpranipparn.com/web/praput/praput85.html
แสดงโฆษณา
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
|
|
|
แจ้งลบกระทู้นี้
อ่าน 4513 |
|
แสดงความคิดเห็น |
โดย โน้ต cmprice
IP: Hide ip
, วันที่ 02 ก.ค. 58
เวลา 14:26:21
|