• ศาลปกครองเชียงใหม่พิพากษาให้ประชาชนชนะคดี กรณี อดีตนายกประยุทธ์ละเลยแก้ไขปัญหา PM 2.5 ล่าช้า |
โพสต์โดย ตนข่าว , วันที่ 19 ม.ค. 67 เวลา 16:24:18 IP: Hide ip |
กด like เพื่อติดตามข่าวสารดีๆ จาก cmprice.com VVVVVV
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
© เนื้อหาข่าว/กระทู้
19 มกราคม 2567 ศาลปกครองเชียงใหม่พิพากษาแล้ว ให้ประชาชนผู้ฟ้องชนะคดี ที่กล่าวหา อดีตนายกรัฐมนตรี ประยุทธ์ จันทร์โอชา กรณีละเลยการแก้ไขปัญหาฝุ่นควันภาคเหนือล่าช้า ส่งผลกระทบต่อประชาชน ให้รัฐบาลจัดทำแผนแก้ไขปัญหาฝุ่นภายใน 90 วัน และสามารถอุทธรณ์ใน30วัน โดยทางภาคประชาชน วิงวอนว่าขอรัฐอย่าอุทธรณ์ เอาเวลาไปขับเคลื่อนแผนแก้ไขดีกว่าเนื่องจากเป็นคดีที่มีข้อเท็จจริงเป็นที่เห็นชัด
ศาลปกครองเชียงใหม่เผยแพร่ประกาศคำพิพากษาที่ประชาชนชนะคดีฟ้องพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เรื่องแก้ไขปัญหาฝุ่นควันล่าช้า
สรุปคำพิพากษาศาลปกครองเชียงใหม่
คดีหมายเลขดำที่ ส. ๓/๒๕๖๖ คดีหมายเลขแดงที่ ส. ๓/๒๕๖๖
คดีนี้ ผู้ฟ้องคดีทั้งสิบฟ้องว่า ผู้ฟ้องคดีทั้งสิบอาศัยอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่และเดินทางภายในพื้นที่ภาคเหนือ ได้รับความเดือดร้อนเสียหายจากปัญหามลพิษทางอากาศที่เกิดจากฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน๒.๕ ไมครอน (PM2.5) อย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้ฟ้องคดีทั้งสิบและประชาชนเป็นจำนวนมากซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ (นายกรัฐมนตรี) และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ (คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ) ละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าเกินสมควร ในการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5จึงนำคดีมาฟ้องต่อศาลเมื่อวันที่ ๑0 เมษายน ๒๕๖๖ ขอให้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ สั่งการตามกฎหมายให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือบุคคลใดกระทำหรือร่วมกระทำการใด ๆ อันจะมีผลเป็นการควบคุมระงับ หรือบรรเทาผลร้ายจากปัญหาฝุ่น PM2.5 และให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ดำเนินการตามกฎหมายเพื่อพิจารณาแนวทางในการแก้ไขปัญหาหรือบรรเทาผลร้ายจากปัญหาฝุ่น PM2.5 เสนอผู้ที่เกี่ยวข้องเป็นการเร่งด่วน
รวมถึงให้จัดทำแผนฉุกเฉินเพื่อแก้ไขสถานการณ์ที่เกิดขึ้นไว้ล่วงหน้า
คดีมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัย ๒ ประเด็น ดังนี้
ประเด็นที่หนึ่ง ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ละเลยต่อหน้าที่ตามที่พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ กำหนดให้ต้องปฏิบัติ หรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควรในการสั่งการให้
ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือบุคคลใดกระทำหรือร่วมกระทำการใด ๆ อันจะมีผลควบคุม ระงับ หรือบรรเทาผลร้ายจากปัญหาฝุ่น PM2.5 หรือไม่ อย่างไร
ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ได้ออกประกาศ เรื่อง กำหนดมาตรฐานฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน ๒.๕ ไมครอน ในบรรยากาศโดยทั่วไป ลงวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๕ กำหนดให้มาตรฐานฝุ่น PM2.5ในบรรยากาศโดยทั่วไป ค่าเฉลี่ยในเวลา ๒๔ ชั่วโมง จะต้องไม่เกิน ๕0 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (มคก./ลบ.ม.)และตั้งแต่วันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๖๖ ค่าเฉลี่ยในเวลา ๒๔ ชั่วโมง จะต้องไม่เกิน ๓๙.๕ มคก./ลบ.ม.ซึ่งเมื่อพิจารณาจากข้อมูลของสำนักงานพัฒนาเทคนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) และกรมควบคุมมลพิษปรากฏว่า นับตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๖๒ เป็นต้นมา หลายจังหวัดในพื้นที่ภาคเหนือมีฝุ่น PM2.5 ในปริมาณที่เกินค่ามาตรฐานและอยู่ในระดับที่มีผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนติดต่อกันอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายน ปี พ.ศ. ๒๕๖๖ ประกอบกับคณบดีคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ และผู้อำนวยการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเขต ๑
(เชียงใหม่) ให้ข้อมูลสอดคล้องกันว่า ฝุน PM2.5 เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ทำให้เกิดกลุ่มโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ เช่น โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรคมะเร็งปอด และโรคหืดหอบ โดยมีจำนวนผู้ป่วยและอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยเพิ่มขึ้นมากนับตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๖๑ เป็นต้นมา ถึงปี พ.ศ. ๒๕๖๖ เมื่อพิจารณาแล้วจึงเห็นว่า พื้นที่ภาคเหนือประสบปัญหาสถานการณ์ฝุ่น PM2.5 ที่มีค่าสูงกว่ามาตรฐานในระดับที่มีผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนอย่างต่อเนื่ อง กรณีถือว่าพื้นที่ภาคเหนือเกิดภาวะมลพิษ ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพอนามัยของประชาชน และก่อให้เกิดผลกระทบเสียหายต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวัดเชียงใหม่ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของผู้ฟ้องคดีทั้งสิบ แม้ว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ จะได้ดำเนินการเพื่อสั่งการให้มีการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน ๒.๕ ไมครอน (PM2.5) แล้วก็ตาม แต่เนื่องจากสภาพอากาศในพื้นที่ภาคเหนือ รวมถึงจังหวัดเชียงใหม่ ยังคงตกอยู่ในภาวะที่ได้รับผลกระทบต่อสุขภาพอันเกิดจากฝุ่น PM2.5 เกินค่ามาตรฐานเป็นระยะเวลานานและต่อเนื่อง กรณีจึงถือว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ปฏิบัติหน้าที่ ตามที่กฎหมายกำหนดล่าช้าเกินสมควร
ประเด็นที่สอง ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ละเลยต่อหน้าที่ตามที่พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ กำหนดให้ต้องปฏิบัติ หรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควรในการแก้ไข
ปัญหาหรือบรรเทาผลร้ายจากฝุ่น PM2.5 หรือไม่ อย่างไรข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จังหวัดในพื้นที่ภาคเหนือประสบปัญหาฝุ่น PM2.5 มาเป็นระยะเวลานานคณะรัฐมนตรีจึงมีมติให้การแก้ไขปัญหามลภาวะด้านฝุ่นละอองเป็นวาระแห่งชาติ โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒เป็นกลไกหลักในการจัดทำแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ "การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง"ต่อมา ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ได้มีมติในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๖๒ เห็นชอบแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติดังกล่าว โดยการบูรณาการดำเนินงานร่วมกันทุกภาคส่วน และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนดขั้นตอนการปฏิบัติงานที่ชัดเจนในช่วงสถานการณ์วิกฤตปัญหาฝุ่น PM2.5 โดยกำหนดเป็น ๔ ระดับ คือ ระดับที่ ๑ ฝุ่น PM2.5 มีค่าไม่เกิน ๕o มคก./ลบ.ม. ระดับที่ ๒ ฝุ่น PM2.5 มีค่าระหว่าง๕๑ - ๗๕ มคก /ลบ.ม. ระดับที่ ๓ ฝุ่น PM2.5 มีค่าระหว่าง ๗๖ - ๑๐๐ มคก/ลบ.ม. และระดับที่ ๔ ฝุ่น PM2.5
มีค่ามากกว่า ๑๐๐ มคก/ลบ.ม. ซึ่งระดับที่ ๔ ตามแผนดังกล่าวกำหนดให้ต้องมีการประชุมผู้ถูกฟ้องคดีที่เป็นกรณีเร่งด่วนพิเศษ และพิจารณากลั่นกรองแนวทางในการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 โดยนำเรียนผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ เป็นการเร่งด่วนเพื่อพิจารณาสั่งการต่อไป เมื่อข้อเท็จจริงปรากฎว่า นับตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๖๒เป็นต้นมา พื้นที่ภาคเหนือได้ประสบปัญหาฝุ่น PM2.5 เกินค่ามาตรฐาน แม้หน่วยงานของรัฐได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาตามแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติดังกล่าวตลอดมา แต่เมื่อสถานการณ์ปัญหาฝุ่น PM2.5ของภาคเหนือยังคงมีปริมาณเกินค่ามาตรฐานในช่วงเดือนธันวาคมถึงเมษายนของทุกปีมาอย่างต่อเนื่ องโดยเฉพาะในปี พ.ศ. ๒๕๖๖ ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดล่ำปาง จังหวัดลำพูนจังหวัดแม่ฮ่องสอน จังหวัดแพร่ จังหวัดน่าน จังหวัดตาก จังหวัดสุโขทัย และจังหวัดพิษณุโลก มีปริมาณฝุ่น PM2.5 เกินกว่า ๕- มคก./ลบ.ม. เป็นระยะเวลาติดต่อกันหลายวัน และบางช่วงมีปริมาณสูงเกินกว่า
๑ㆍ0 มคก./ลบ.ม. (ระดับที่ ๔) เป็นอย่างมาก ถือว่าเป็นปัญหามลพิษที่มีแนวโน้มที่ จะร้ายแรงถึงขนาดเป็นอันตรายต่อสุขภาพอนามัยของประชาชนหรืออาจก่อให้เกิดผลกระทบเสียหายต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม
โดยไม่ปรากฏว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ได้กำหนดให้มีการประชุมเป็นกรณีเร่งด่วนเพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5ที่อยู่ในสถานการณ์วิกฤตในระดับที่ ๔ และพิจารณากลั่นกรองแนวทางแก้ไขปัญหาหรือบรรเทาผลร้ายจากฝุ่น PM2.5 เสนอต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ เป็นการเร่งด่วนในเวลานั้น ทำให้ผู้ฟ้องคดีทั้งสิบซึ่งอาศัยอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่และเดินทางในพื้นที่ภาคเหนือ ตกอยู่ในสภาวะเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบต่อสุขภาพทั้งในระยะสั้นและระยะยาว กรณีจึงถือว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ละเลยต่อหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายล่าช้าเกินสมควรเมื่อได้วินิจฉัยแล้วว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ละเลยต่อหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าเกินสมควร แต่เนื่องจากสถานการณ์ปัญหาฝุ่น PM2.5 เกินค่ามาตรฐานในพื้นที่ภาคเหนือได้คลี่คลายลงแล้วตั้งแต่ช่วงเดือนพฤษภาคม ๒๕๖๖ ศาลจึงไม่อาจกำหนดคำบังคับให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวได้ อย่างไรก็ตามปัญหาฝุ่น PM2.5 เกินค่ามาตรฐานในพื้นที่ภาคเหนือโดยมากจะเกิดขึ้นประจำในช่วงเดือนธันวาคมถึงเมษายนของทุกปีอย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มว่าจะทวีความรุนแรงขึ้น เพื่อเป็นการป้องกันเหตุดังกล่าวไว้ก่อนทั้งระยะสั้นและ ระยะยาวในรอบระยะเวลาข้างหน้าตามหลักการป้องกันล่วงหน้า
(Preventive principle) และกฎหมายข้างต้น จึงมีเหตุผลเพียงพอที่ศาลจะพิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองใช้อำนาจและปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕
เพื่อป้องกัน ควบคุม แก้ไข ระงับหรือบรรเทาผลร้ายจากอันตรายและความเสียหายที่เกิดจากภาวะมลพิษได้อย่างมีประสิทธิภาพและทันท่วงที
พิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ใช้อำนาจหรือร่วมกันใช้อำนาจตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ กำหนดมาตรการ หรือจัดทำแผนฉุกเฉินที่มีประสิทธิภาพอย่างบูรณาการและยั่งยืน เพื่อป้องกัน ควบคุม แก้ไข บรรเทา หรือระงับภยันตรายอันเกิดจากฝุ่น PM2.5 ซึ่งเกินกว่าค่ามาตรฐานและ อยู่ในระดับที่มีผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของประชาชนในพื้นที่ภาคเหนือให้ทันท่วงที ทั้งนี้ ให้ดำเนินการกำหนดมาตรการ หรือจัดทำแผนฉุกเฉินดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายใน ๙๐ วัน นับแต่วันที่คำพิพากษาถึงที่สุด คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
สำนักงานศาลปกครองเชียงใหม่ ลงวันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๖๗
ลิงก์ผู้สนับสนุน
กระทู้/ข่าว อื่นๆ ที่น่าสนใจ
|
|
|
|
แจ้งลบกระทู้นี้
อ่าน 314 |
|
แสดงความคิดเห็น |
โดย ตนข่าว
IP: Hide ip
, วันที่ 19 ม.ค. 67
เวลา 16:24:18
|