กด like เพื่อติดตามข่าวสารดีๆ จาก cmprice.com VVVVVV
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
© เนื้อหาข่าว/กระทู้
รัฐต้องการให้ ปตท. เป็นหน่วยงานหลักในการสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้กับประเทศ หลังจากการแปรรูป ปตท. ทำให้ ปตท. สามารถจัดหาแหล่งเงินทุนเพิ่มเติม และสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศ โดยขยายการลงทุนในโครงข่ายพลังงานต่างๆ และพัฒนาพลังงานทางเลือกอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้คนไทยมีพลังงานใช้อย่างเพียงพอ และปกป้องการแสวงหาประโยชน์ของบริษัทพลังงานต่างชาติ
เมื่อเป็นเช่นนี้ผู้ที่ได้รับประโยชน์ที่แท้จริงจากการแปรรูป ปตท. ก็คือ ประชาชน ทั้งในส่วนของภาพรวมเศรษฐกิจและในฐานะผู้บริโภคพลังงาน ในทางกลับกัน หากไม่มีการแปรรูป ปตท. รัฐจะต้องมารับภาระในการลงทุนด้านพลังงาน อันจะส่งผลกระทบต่อการจัดหางบประมาณสำหรับการดำเนินการพัฒนาในด้านอื่นๆ ของประเทศ เช่น ด้านสังคม ด้านการศึกษา ด้านสาธารณสุข และการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน เป็นต้น
จากความคล่องตัว มีประสิทธิภาพ และการมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของ ปตท. จึงมีส่วนสำคัญในการเพิ่มฐานะทางการเงินของรัฐในรูปเงินปันผล และภาษีเงินได้ที่ กลุ่ม ปตท. ส่งคืนภาครัฐ โดยรัฐสามารถนำไปพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้กับประเทศ นอกจากนี้ ยังส่งผลให้ ปตท. มีศักยภาพในการแข่งขันกับบริษัทข้ามชาติต่างๆ ในกลไกตลาดเสรี รักษาและสร้างสมดุลในด้านราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมและยุติธรรม
การกระจายหุ้นไอพีโอ ปตท. โปร่งใส ราคาเหมาะสมจริงหรือ?
การระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยของ ปตท. ไม่เอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มใด เนื่องจากได้มีการกระจายหุ้นตามหลักเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ และตามแนวปฏิบัติที่เป็นสากล คือ การจองซื้อจะต้องผ่านตัวแทนจำหน่ายหุ้นที่เป็นธนาคาร หรือจองซื้อผ่านนายหน้าค้าหลักทรัพย์ที่ตนเป็นลูกค้าอยู่ในราคา IPO ที่ 35 บาทต่อหุ้น ซึ่งได้ผ่านการตรวจสอบความถูกต้องโดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.)
นอกจากนี้ ราคาหุ้น ปตท.ก็อยู่ในระดับที่เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจและตลาดในช่วงนั้น (SET Index = 305 จุด) ซึ่งพิสูจน์ได้จากราคาหุ้น ปตท. ที่ขึ้นลงอยู่ในระดับใกล้เคียงกับราคาจองซื้ออยู่ถึงเกือบปีและบางช่วงมีระดับต่ำสุดถึง 29 บาท ดังนั้นหากนักลงทุนที่จองซื้อไม่ได้ สามารถซื้อในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ในราคาที่ต่ำกว่าราคาจอง
แล้วกำไรของ ปตท. ไปไหนล่ะ? หรือเพราะความอัปปรีย์ของปตท กำไรถึงเยอะ?
ส่วนหนึ่งของกำไรใช้ลงทุนต่อยอดขยายธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ เพื่อสร้างความมั่นคงด้านการจัดหาพลังงานให้แก่ประเทศ โดยอีก 5 ปี ข้างหน้า ปตท. และบริษัทในกลุ่ม ต้องใช้เงินลงทุนรวมกว่า 900,000 ล้านบาท อีกส่วนหนึ่ง นำส่งรัฐในรูปของภาษีเงินได้และเงินปันผล ไปพัฒนาประเทศด้านต่างๆ ตั้งแต่ปี 2544-2554 ปตท. ได้ส่งเงินให้รัฐรวมแล้วกว่า 460,000 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นรัฐวิสาหกิจที่นำส่งรายได้ให้กับรัฐมากที่สุด
ปี 2554 ปตท. มีกำไรสุทธิ 105,296 ล้านบาท จากรายได้ 2,475,495 ล้านบาทคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 4.25% ของทรัพย์สินรวมของ ปตท. กำไรของ ปตท. ส่วนใหญ่เกิดจากการที่ ปตท. ไปลงทุนในบริษัทย่อยต่างๆ (55%) มากกว่าจากธุรกิจที่ ปตท. ดำเนินการเอง (45%)
หากเปรียบเทียบผลตอบแทนของ ปตท. กับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมพลังงานต่างประเทศ จะพบว่าอัตราผลตอบแทนของ ปตท. ยังต่ำกว่าผู้ประกอบการรายอื่นๆ ในอุตสาหกรรมเดียวกัน
พลังงานไทยมีการแข่งขันเสรี
การดำเนินธุรกิจพลังงาน ครบวงจร ของ ปตท. ครอบคลุมตั้งแต่ธุรกิจพลังงานต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ทุกธุรกิจของ ปตท.อยู่ภายใต้การแข่งขันเสรี และภายใต้การติดตาม ดูแลจากภาครัฐอย่างใกล้ชิดโดย
ธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการปิโตรเลียม ภายใต้ พระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 โดยกระทรวงพลังงานเป็นผู้ให้สัมปทานกับบริษัทเอกชนที่ยื่นประมูลแข่งขันกัน สำหรับราคาจำหน่ายทั้งก๊าซธรรมชาติ น้ำมัน และคอนเดนเสทที่ผลิตได้จะอ้างอิงราคาตลาดโลก กำกับดูแลโดยคณะกรรมการปิโตรเลียม ปัจจุบันมีจำนวนผู้รับสัมปทานทั้งสิ้น 72 ราย โดยบริษัท ปตท.สำรวจและผลิต (มหาชน) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ ปตท.เป็นหนึ่งในผู้รับสัมปทานนั้น
ธุรกิจก๊าซธรรมชาติ เป็นธุรกิจที่ไม่มีการผูกขาด เอกชนสามารถทำธุรกิจจัดหาและวางท่อส่งก๊าซฯ ได้ ภายใต้ พระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 และ พระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550 ซึ่งก็มีเอกชนหลายรายวางท่อส่งก๊าซฯ ทั้งบนบกและในทะเล โดยลูกค้าก๊าซฯรายใหญ่ อาทิ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยก็มีการซื้อก๊าซธรรมชาติโดยตรงจากผู้ผลิตรายอื่นๆ นอกจากนี้ผู้ใช้ก๊าซธรรมชาติไม่ว่าจะเป็นการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย บริษัทผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน รวมถึงผู้ใช้เชื้อเพลิงในอุตสาหกรรมต่างๆ สามารถเลือกใช้เชื้อเพลิงชนิดอื่นๆ (น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ หรือถ่านหิน) และเลือกซื้อเชื้อเพลิงจากผู้ผลิตต่างๆ ได้อย่างเสรี
ธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ ดำเนินการนำเข้าและส่งออกน้ำมัน รวมถึงบริหารความเสี่ยงราคาน้ำมันที่มีความผันผวนมาก โดยเป็นธุรกิจที่ต้องแข่งขันกันมากกับบริษัทต่างชาติในตลาดโลก ซึ่งล้วนแต่เป็นบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญ และบางบริษัทก็เป็นบริษัทในเครือของบริษัทน้ำมันของโลกขนาดใหญ่
ธุรกิจการกลั่น รัฐเปิดเสรีตั้งแต่ปี 2533 เพื่อให้ประเทศมีกำลังการกลั่นน้ำมันสำเร็จรูปมากพอที่จะใช้ในประเทศทดแทนการนำเข้า และสร้างความมั่นคงในการจัดหาซึ่งราคาซื้อขายผลิตภัณฑ์ที่ออกจากโรงกลั่นจะอิงกับตลาดโลก โดยมีกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงพลังงานดูแล ปัจจุบันประเทศไทยมีโรงกลั่นทั้งหมด 7 แห่ง กำลังการกลั่นรวม 1.23 ล้านบาร์เรลต่อวัน การถือหุ้นในโรงกลั่นของ ปตท. มีความเป็นมาจากนโยบายภาครัฐที่ต้องการให้ ปตท.เข้าไปสนับสนุนการตั้งโรงกลั่นในไทย รวมถึงการช่วยเหลือโรงกลั่นที่ประสบภาวะขาดทุน ขาดสภาพคล่อง ในช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง รัฐบาลจึงให้ ปตท. เข้าเพิ่มทุนในโรงกลั่นต่างๆ เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ สร้างพลังร่วม จนสามารถอยู่รอด และสามารถแข่งขันกับโรงกลั่นอื่นๆ ในต่างประเทศ นอกจากนี้การถือหุ้นในโรงกลั่นของ ปตท. 5 แห่ง คิดเป็นสัดส่วนของกำลังการกลั่นทั้งประเทศเพียง 36%
ธุรกิจปิโตรเคมี เป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มจากก๊าซธรรมชาติตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ โดยต่อเชื่อมผลิตภัณฑ์ที่ได้จากโรงแยกก๊าซธรรมชาติไปสู่อุตสาหกรรม จนถึงสินค้าอุปโภค บริโภค เพื่อประชาชน และเป็นการแข่งขันเสรีกับผู้ประกอบการทั้งในและต่างประเทศ
ธุรกิจน้ำมัน รัฐเปิดเสรีตั้งแต่ปี 2534 ปัจจุบันมีจำนวนผู้ค้าน้ำมันถึง 42 ราย (ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7) สถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศ รวมกว่า 20,000 แห่ง โดยโครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมันยังคงเป็นโครงสร้างเดียวกับโครงสร้างที่รัฐกำหนดในช่วงที่มีการควบคุมในปี 2522-2534 ประกอบด้วย 1) ราคา ณ โรงกลั่น ซึ่งขึ้น-ลงตามราคาตลาดโลกและอัตราแลกเปลี่ยน 2) ภาษีสรรพสามิต ภาษีเทศบาล กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และกองทุนเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งเป็นส่วนที่รัฐกำหนด และภาษีมูลค่าเพิ่ม 3) ค่าการตลาดที่ผู้ค้าน้ำมันกำหนด โดยแบ่งกันระหว่างผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการ ดังนั้นการปรับขึ้น-ลง ราคาขายปลีกน้ำมันขึ้นอยู่กับ 3 ปัจจัย ดังกล่าว โดยในส่วนที่อ้างอิงกับราคาตลาดโลกอยู่นอกเหนือการควบคุม แต่ในส่วนของภาษีและกองทุนขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐบาล ซึ่งคิดเป็นประมาณ 20-35% ของราคาขายปลีกน้ำมัน สำหรับค่าการตลาดนั้น ขึ้นอยู่กับสภาวะการแข่งขันในตลาด ตามกลไกตลาดเสรี ซึ่งคิดเป็นประมาณ 4-5% ของราคาขายปลีก
ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ทุกธุรกิจของกลุ่มปตท. อยู่ภายใต้การแข่งขันเสรี และดำเนินการเพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงานควบคู่ กับการสร้างมูลค่าเพิ่มให้เศรษฐกิจประเทศ บางทีความอัปปรีย์ของ ปตท ที่เราคิดกันอยู่ตอนนี้ อาจจะช่วยให้เราไม่ต้องทนทรมานกับค่าน้ำมันที่แพงมหาโหดจากผู้ค้าน้ำมันต่างชาติก็เป็นได้
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
|
|
|