ลิงก์ผู้สนับสนุน
© เนื้อหาข่าว/กระทู้
การพยายามออกมาบิดเบือนข้อเท็จจริงเรื่อง ผู้สำเร็จราชการ ของคนเสื้อแดง โดยบอกว่า รัฐธรรมนูญปี 50 เขียนขึ้นมาเพราะ คณะรัฐประหาร โดยมีป๋าเปรมอยู่เบื้องหลัง แล้ว ชี้นำไปที่ ผู้สำเร็จราชการ ซึ่งหากพระเจ้าอยู่หัวไม่ทรงแต่งตั้งใครแล้ว จะตกแก่ ประธานองคมนตรี ซึ่งปัจจุบันก็คือ ป๋าเปรม กลุ่มคนเสื้อแดงขานรับกันเป็นขบวน พยายามใส่ร้ายรัฐธรรมนูญปี50 ว่าร่างขึ้นมาเพราะความมักใหญ่สูงของป๋า
แต่พอจับได้ ว่า รัฐธรรมนูญปี 40 ก็ร่างแบบนี้ เนื้อหาถ้อยคำเหมือนกันทุกประการ ไม่ผิดเพี้ยนแม้แต่น้อย เพราะ ในหมวดพระมหากษัตริย์นี้ ไม่เคยได้ถูกเอามาปรับปรุงใดๆเลย เพราะคณะผู้ร่างรัฐธรรมนูญในแต่ละยุค ต่างก็ตระหนักในระบบจารีตที่คนยุคเก่าได้คิดและวางไว้ จึงให้เกียรติ ยกไว้ไม่เคยแตะต้องเนื้อหาในหมวดพระมหากษัตริย์แต่ประการใดเลย
มาจนถึงยุคนี้ ทักษิณ ชินวัตร และกลุ่มคนเสื้อแดง พยายามจะเข้าไปแตะ ไปแก้เนื้อหา ซึ่งเป้าหมายลวงอาจจะพุ่งไปที่ ป๋าเปรม ดูเหมือนว่าจะให้เข้าใจว่า ที่ต้องการแก้ไขผู้สำเร็จราชการนั้น เพราะต้องการกันป๋าเปรม แต่ถ้า พิจารณาองค์ประกอบแวดล้อมแล้ว หาได้เป็นเช่นนั้นไม่
ลองมาทำความเข้าใจวิธีคิดของบรรพบุรุษที่ร่างบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ ในหมวดพระมหากษัตริย์ ที่ คณะผู้ร่างในสมัยต่อมาไม่เข้าไปแก้ไขเลยคงใช้ของเดิมตลอด ไม่ว่าจะรัฐธรรมนูญปี 40 หรือ ปี 50 ก็คัดลอกเอามาลงในเนื้อหาเดียวกันล้วนๆ
วิธีคิดเรื่อง ผู้สำเร็จราชการ ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ
พระมหากษัตริย์ของประเทศไทย เปรียบเหมือนเสาหลักของชาติ ในขณะที่คนในชาติต่างประสบปัญหามากมาย ทั้งความเป็นอยู่ การทำมาหากิน การศึกษาหาความรู้ เรียกว่า มีปัญหาอยู่ทุกแห่ง สถาบันพระมหากษัตริย์ของไทย มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่เข้าไปช่วยขจัดปัดเป่าปัญหาเหล่านั้นกับราษฎร จนเกิดโครงการ ส่วนพระองค์ มากมาย มีโครงการในพระราชดำริกว่า 3000 โครงการ มีโครงการวิจัยในพระราชวัง เพื่อความอยุ่ดีกินดีของราษฎร ซึ่งมีที่เดียวในโลก และพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกในโลกที่ได้รับ สิทธิบัตรสิ่งประดิษฐ์ กังหันน้ำ ชัยพัฒนา ซึ่งสิ่งประดิษฐ์นี้ ทรงคิดขึ้นมาเพื่อการพัฒนาความเป็นอยู่ของราษฎร
พระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกในโลกที่ได้รับการถวายรางวัล ความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์ จากสหประชาชาติ
นอกจากนี้ พระมหากษัตริย์ ยังทรงต้องรับผิดชอบต่อกฎหมายที่จะ บังคับใช้กับราษฎร โดยต้องลงพระปรมาภิไทยก่อน จึงจะประกาศใช้ได้
พระมหากษัตริย์ ต้องรับผิดชอบในการแต่งตั้ง นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ แม่ทัพนายกองทั้งหลาย โดยต้องทรงมีพระบรมราชโองการ ทรงแต่งตั้ง
จะเห็นได้ว่า พระมหากษัตริย์ ของไทยมีภารกิจ มากมายและใหญ่หลวงมาก ทางคณะผู้ร่างรัฐธรรมนูญในสมัยก่อน จึงตระหนักว่า พระองค์ท่านไม่ทรงสามารถที่จะรับพระภาระอันยิ่งใหญ่ขนาดนี้ได้ จึงได้ร่างรัฐธรรมนูญ กำหนดให้ พระมหากษัตริย์ มีผู้มาช่วยทำงานเป็นที่ปรึกษา ซึ่งเรียกว่า องคมนตรี
คณะผู้ร่างรัฐธรรมนูญในอดีต ยังคิดและสรุปอีกว่า ที่ปรึกษาที่ช่วยงานพระมหากษัตริย์นี้ ต้องอยู่ใกล้ชิด ควรที่จะให้ พระองค์ท่านได้เลือกเอง ตามความพอใจ ในรัฐธรรมนูญ ทุกฉบับจึงกำหนดให้มีคณะองคมนตรีและองคมนตรีทั้งหลาย พระมหากษัตริย์ทรงเลือกด้วยพระองค์เองตามอัธยาศัย และกำหนดให้องคมนตรีทั้งหลายนั้นเลือกหัวหน้าขึ้นมาซึ่งก็คือ ประธานองคมนตรี
บุคคลที่พระเจ้าอยู่ ทรงเลือกให้เป็นองคมนตรี ส่วนใหญ่จะเป็น ข้าราชการแทบทุกหน่วยงานที่เกษียณแล้ว และในระหว่างรับราชการมีคุณงามความดีซื้อสัตย์สุจริตมาอย่างสม่ำเสมอ
ในการปฏิบัติหน้าที่ของ คณะองคมนตรี จะรู้ใกล้ชิดงานในพระราชกรณียกิจของพระมหากษัตริย์ มากกว่าหน่วยงานอื่นใด เพราะเป็นที่ปรึกษาและได้รับมอบหมายภารกิจแทนพระองค์อยู่เนืองๆ
และนี่คือเหตุผลว่า รัฐธรรมนูญได้กำหนด เรื่อง ผู้สำเร็จราชการ ไว้กรณีที่ พระมหากษัตริย์ไม่อยู่ในราชอาณาจักร หรือไม่ทรงบริหารพระราชภาระได้ โดยไล่ลำดับตามมาตร 18-19-20-21 ดังนี้
1.ให้พระมหากษัตริย์ แต่งตั้งผู้สำเร็จราชการ
2.หากไม่ได้แต่งตั้งผู้ใด ซึ่งคงเป็นสภาวะที่ไม่ปกติ เพราะถ้าปกติก็จะทรงแต่งตั้งไว้ ซึ่งในสภาวะแบบนี้ ให้คณะองคมนตรี เลือกบุคคลหนึ่งแล้วให้รัฐสภาลงมติ เห็นชอบ
3.และในระหว่างสุญญากาศ ที่รอมติของสภาหรือขบวนการคัดเลือกนี้ ให้ประธานองคมนตรี ทำหน้าที่ ผู้สำเร็จราชการ ไปพลางก่อน
จะเห็นได้ว่า เหตุผลที่รัฐธรรมนูญของราชอาณาจักรไทย กำหนด เรื่อง ผู้สำเร็จราชการ ไว้ให้องคมนตรีเป็นผู้เลือกนั้น เหตุผลเพราะ องคมนตรีเหล่านั้น เป็นผู้ที่พระมหากษัตริย์ไว้วางพระทัย รับใช้งานใกล้ชิดพระองค์ท่านตลอดเวลา จึงเปรียบเสมือนให้พระเกียรติ สองชั้น นั่นหมายความว่า หากมีเหตุฉุกเฉินของบ้านเมือง ที่ไม่มีพระมหากษัตริย์ก็ให้คณะบุคคลที่พระมหากษัตริย์ ทรงเลือกมาช่วยงานใกล้ชิด อย่างที่สุด ให้เป็นผู้เลือก ผู้สำเร็จราชการ
ส่วน การที่ กลุ่มเสื้อแดง โดยนาย จตุพร พรมพันธ์ ได้เสนอให้แก้รัฐธรรมนูญในหมวดนี้ โดยให้เปลี่ยนกรณี บุคคลที่ทำหน้าที่แทน ผู้สำเร็จราชการในช่วงสุญญากาศ จากประธานองคมนตรี เป็น องค์ รัชทายาท(ในการประชุมสภาวันนี้(29/ตุลาคม/52) นั้น ได้บ่งบอกถึงสติปัญญาความโง่เขลาของ นายจุตุพร และยังสะท้อนให้เห็นว่า ไม่เคยได้ทำงานระดับนโยบายหรืออยู่ในคณะผู้ร่างกฎหมายมาเลยจึงคิดได้แค่นั้น
การร่างกฎหมายโดยเฉพาะรัฐธรรมนูญนั้น ต้องรอบครอบและใช้ได้แทบจะทุกกรณี
และเหคุที่ คณะผู้ร่างรัฐธรรมนูญในสมัยก่อน ไม่ได้กำหนดให้ องค์รัชทายาท เป็นผู้สำเร็จราชการ อย่างที่จตุพร และกลุ่มคนเสื้อแดงเสนอนั้น ถ้าย้อนไปดูประวัติศาสตร์กันแล้ว บางยุคบางสมัย องค์รัชทายาท ยังทรงพระเยาว์มาก แล้วถ้าร่างรัฐธรรมนูญไว้อย่าง นายจตุพร ว่า เกิดสมัยนั้น รัชทายาทมีพระชมน์แค่ 9 พรรษาจะทำอย่างไร
แต่องคมนตรี เป็นไปไม่ได้เลย ที่พระมหากษัตริย์จะเลือกเด็กขนาดนั้น มาเป็นที่ปรึกษา เพราะฉะนั้น คณะผู้ร่างรัฐธรรมนูญเขาคิดอย่างรอบครอบแล้วว่า หากเกิดกรณีฉุกเฉินอย่างนั้น ควรจะกำหนดอย่างไร
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
|