• เวทีความคิดแก้หมอกควัน หลายองค์กรร่วมแฉคนป่วยพุ่ง 3 หมื่น |
โพสต์โดย กรรมกรข่าว , วันที่ 22 มี.ค. 52 เวลา 12:16:25 IP: Hide ip |
กด like เพื่อติดตามข่าวสารดีๆ จาก cmprice.com VVVVVV
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
© เนื้อหาข่าว/กระทู้
นักวิชาการมช. เปิดเวทีระดมแนวแก้ไขหมอกควัน พ่อเมือง “อมรพันธุ์” ชี้ทุกฝ่ายต้องร่วมกันทำจริงอย่าเอา แต่พูดพร้อมชื่นชมทุกส่วนที่ร่วมกันแก้ไขเชื่อจะดีขึ้น ขณะที่อบจ.เชียงใหม่จับมือหลายหน่วยงานเร่งให้ความชื้นในอากาศสู้วิกฤติหมอกควัน จัดกิจกรรมฉีดพ่นละอองน้ำสร้างสภาพอากาศสดใส ทสจ.-ปภ.-สสจ.-ป่าไม้ ให้ข้อมูลตรงกันเหตุหลักเพราะคนเผา ชี้ช่วง มีนาคม-เมษายนรอเผาอีกกว่าแสนไร่ เผยล่าสุดผลกระทบซ้ำเติมวิกฤตเศรษฐกิจทำท่องเที่ยวแย่มากขึ้น "บุญเลิศ"บอกสงกรานต์ที่สุดงานใหญ่ยอดจองห้องพักยังหดมีแค่ 50% หวังจะดีขึ้นหากช่วยกันจริง ขณะที่สาธารณสุขระบุยอดป่วยระบบทางเดินหายใจ หัวใจ ก.พ.-มี.ค.ปีนี้ทะลุ 30,000 ราย
เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2552 ที่สถาบันวิจัยสังคมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ คณะรัฐ- ศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างๆ ได้จัดเวทีสัมมนาวิชาการภายใต้หัวข้อ"บทบาทของภาครัฐ ท้องถิ่น และภาคประชาชน ในการแก้ไขวิกฤติหมอกควันในจังหวัดเชียงใหม่" เพื่อระดมความเห็นและแนวทางในการแก้ไขปัญหาหมอกควันและการเผาที่ทำให้เกิดผลกระทบต่อพื้นที่ภาคเหนือเวลานี้ โดยมีนายอมรพันธุ์ นิมานันท์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่เป็นประธานเปิดการสัมมนา ซึ่งผู้ว่าได้บอกย้ำว่า เป็นเรื่องที่ดีฝ่ายนักวิชาการได้ให้ข้อมูล เป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายต้องตระหนักร่วมกัน สำหรับปัญหาหมอกควันหรือการเผาที่เกิดขึ้นเพราะลำพังเจ้าหน้าที่รัฐคงทำอะไรไม่ได้ต้องอาศัยความร่วมมือทุกฝ่ายที่จะหาทางออกในแนวทางต่างๆ แล้วมารวมกัน ทุกส่วนมีส่วนร่วมที่ดีที่จะร่วมกันทำจริงๆ ไม่ใช่มาเอาแต่พูดกันเท่านั้น จึงขอชื่นชมทุกฝ่ายที่ตั้งใจช่วยกันเวลานี้เพราะเชื่อว่ามีทางออกอีกมากที่จะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ไม่ทำให้เกิดการเผาจนเป็นปัญหาเช่นนี้ได้ ขอขอบคุณทุกที่ได้ร่วมมือกันอีกครั้งและเชื่อมั่นว่าเมื่อทุกคนทุกส่วนได้ร่วมมือกันทุกอย่างจะดีตามมาแน่นอน
อย่างไรก็ตามสำหรับการสัมมนาครั้งนี้นอกจากมีกลุ่มนักวิจัยนักวิชาการที่ทำงานเกี่ยวข้องกับปัญหาหมอกควันแล้ว ยังมีส่วนราชการองค์กรต่างๆ ที่มีส่วนในการแก้ไข การเฝ้าระวังและใกล้ชิดปัญหามาร่วมแสดงข้อมูลต่างๆ ด้วยโดยมีการแลกเปลี่ยนข้อมูล ปัญหาและผลกระทบที่เกิดขึ้นจากหมอกควันและมลพิษทางอากาศของจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งมีผลกระทบในหลายด้าน ทั้งสิ่งแวดล้อม,เศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตของประชาชน พร้อมทั้งร่วมกันเสนอแนวทาง ระดมสมองเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยพบว่า ปัญหาหมอกควันนั้น มักจะเกิดขึ้นในฤดูแล้งของทุกปี แต่มลพิษทางอากาศสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งปี ดังนั้นทุกภาคส่วนต้องมีส่วนร่วมในการป้องกันและแก้ไขปัญหาตลอดทั้งปี ไม่เฉพาะช่วงหน้าแล้งเท่านั้น รวมถึงต้องสร้างความตระหนักให้กับประชาชนว่า การเผาทุกชนิดทำให้เกิดมลพิษทางอากาศได้ โดยในการนี้ได้มีการนำเสนอข้อมูลทางการวิจัยและสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเพื่อเน้นย้ำถึงสภาพปัญหาและสาเหตุ เพื่อนำไปสู่ทิศทางการแก้ไขที่ตรงจุดไม่ใช่การมาแก้ไขที่ปลายเหตุเช่นทุกวันนี้
วันเดียวกันที่โรงแรมอโมร่า ท่าแพ อ.เมืองเชียงใหม่ องค์การบริหารส่วนจังหวัดได้ร่วมกับสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดและสำนักป้องกันไฟป่า สำนักบริหารพื้นที่ป่าอนุรักษ์ที่ 16 เชียงใหม่ ร่วมกันแถลงข่าวโครงการประชาสัมพันธ์การพ่นละอองน้ำเพื่ออากาศสดใส เชียงใหม่ไร้หมอกควัน ทั้งนี้มีนายบุญเลิศ บูรณุปกรณ์ นายก อบจ.เชียงใหม่เป็นประธาน โดยบอกว่า โครงการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนได้ตระหนักถึงปัญหาและผลกระทบที่เกิดขึ้นจากปัญหาการเผา ทำให้เกิดปัญหาหมอกควันที่ส่งผลกระทบไปเกือบทุกด้านโดยเฉพาะเรื่องสุขภาพและสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจการท่องเที่ยว แม้ผ่านมาจะมีการประชาสัมพันธ์รณรงค์ป้องกันเรื่องดังกล่าว แต่อาจจะไม่เข้าถึงประชาชน จำเป็นต้องสร้างความตระหนักเพิ่มมากขึ้นพร้อมๆ กับการแก้ไขระยะเร่งด่วนและทำทุกวิถีทางที่จะลดสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นด้วย โดยโครงการพ่นละอองน้ำในอากาศนี้ก็จะเป็นการบรรเทาได้อีกส่วนหนึ่งที่จะไม่ให้สถานการณ์แย่มากขึ้น ซึ่งจะมีการจัดกิจกรรมเดินรณรงค์ของพลังมวลชนทุกส่วน ในวันที่ 21 มี.ค.นี้ตั้งแต่เวลา 08.00 น.ที่หน้าสถานีรถไฟไปถึงข่วงประตูท่าแพ เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนได้ตระหนักและร่วมกันฟื้นสภาพอากาศที่สดใสต้อนรับเทศกาลสงกรานต์ที่จะมาถึงให้การท่องเที่ยวขอเชียงใหม่คึกคักมากขึ้น ทั้งนี้นอกจากการรณรงค์แล้วยังจะมีการจัดเวทีเสวนาให้ความรู้ชุมชนในวันที่ 24-25 มีนาคมที่อำเภอไชยปราการและแม่แจ่มพื้นที่เป้าหมายกับการเผาไร่สวนที่สำคัญจากนี้ด้วย
นายบุญเลิศกล่าวย้ำว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญเพราะจากข้อมูลส่วนงานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสถิติการเกิดไฟเผา สถานการณ์การเจ็บป่วยที่เพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่า สภาพความแห้งแล้งและอื่นๆ ที่เป็นปัจจัยเสี่ยงขณะนี้จำเป็นต้องกระตุ้นและร่วมมือกันจริงจังและ อบจ.จะเป็นส่วนหนึ่งในการรณรงค์เรื่องนี้จน สถานการณ์ของปัญหาดีขึ้น พร้อมทั้งส่งเสริมและสนับสนุนท้องถิ่นต่างๆ เต็มที่ด้วย
ด้านข้อมูลของส่วนงานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ปภ.จังหวัดนายประจญ ปรัชย์สกุล หัวหน้าสำนักงานก็บอกว่า สถานการณ์ปีนี้ค่อนข้างจะรุนแรงและส่งผลต่อเนื่องถึงภัยแล้งที่หนักด้วย การที่ อบจ.และส่วนงานต่างๆ ได้ร่วมมือกันดูแลเรื่องนี้จะช่วยให้สถานการณ์ไม่แย่และจะดีขึ้น เช่นเดียวกับนายภุชงค์ อินทสมพันธ์ ทสจ.บอกว่า ตอนนี้ปัญหาค่อนข้างจะแย่กว่าปีก่อนและเป็นในพื้นที่กว้างทั้งภาคเหนือตอนบน แต่โชคดีที่เชียงใหม่ไม่แย่ที่สุด มีลำปาง เชียงราย พะเยาและแม่ฮ่องสอนยังหักกว่า แต่ก็ถือว่าเป็นปัญหาที่หนักเมื่อเทียบปีที่ผ่านมา ส่งผลกระทบถึงคนปกติที่อาจจะเป็นปัญหาในขณะที่ออกกำลังกายกลางแจ้งเช่นเล่นฟุตบอล ที่องสูดเอาอากาสที่ไม่บริสุทธิ์เข้าไปและอาจจะมีผลต่อสุขภาพได้
ขณะที่ข้อมูลของไฟป่าที่เกิดขึ้นนั้นนายกิจมี ประธานคณะทำงานสนับสนุนการแก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่า จ.เชียงใหม่ บอกว่า สถานการณ์ปัญหาปีนี้รุนแรงและพบว่าเป็ฝีมือของคนทั้งสิ้นคือการเผาป่าเพื่อหาของป่า เผาเพื่อล่าสัตว์และทำไร่ รวมทั้งการเผาพื้นที่เกษตรกรรม เผาข้างทาง บางอย่างจึงยากที่จะไปเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตเรื่องการเผาแต่สามารถลดปัญหาได้เมื่อประชาชนเข้าใจและท้องถิ่น เอาจริงมากขึ้นเพราะใกล้ชิดกันสื่อสารกันง่าย
ขณะที่ข้อมูลของสำนักงานสาธารณสุขชี้ว่าตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์ถึง 20 มีนาคมนั้น มีผู้ป่วยด้วยโรคระบบทางเดินหายใน หัวใจ ปอด หืดหอบ และเกี่ยวข้องที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาหมอกควัน รวมทั้งผลกระทบด้านผิวหนังพบว่าอดีตนั้นผู้ป่วยเสี่ยงคือเด็กเล็กและผู้สูงอายุ แต่ปัจจุบันกลับพบว่า ผู้ป่วยจะมีอายุระหว่าง15-60 ปีมาก โดยทั้ง 24 อำเภอมีรายงานว่าผู้ป่วยที่เข้ารับรักษาพยาบาลกว่า 3 หมื่นคน เป็นกลุ่มอายุดังกล่าว 4.5-5 พันคน รองลงมาก็เป็นกลุ่มเด็กเล็กและคนชรา ทั้งนี้กลุ่มเสี่ยงใหม่ที่เกิดขึ้นเนื่องจากไม่สนใจหรือไม่ได้ตระหนักว่าจะอันตรายจึงทำกิจกรรมกลางแจ้งโดยไม่ได้ป้องกันมาก เช่นกรณีการออกกำลังกายเช่น เล่นฟุตบอล การวิ่ง ซึ่งต้องเข้าใจเพิ่มเติมว่าปัญหาหมอกควันหรือมลพิษอากาศนั้นไม่ใช่เฉพาะการเผาทเท่านั้นยังต้องมีเรื่องของยานยนต์ที่ปล่อยควันไอเสียออกมาต้องเข้าใจว่าเชียงใหม่เวลานี้มีปริมาณการจราจรหนาแน่นรถมีกว่า 1.5 ล้านคันต่อวันทำให้ดัชนีคุณภาพอากาศแย่ด้วยทั้ง คาร์บอนมอนอกไซด์ ไน โตรเจนได้ออกไซด์ กาซซัลเฟอร์โอโซน เหล่านี้กํอันตราย ซึ่งปัจจุบันถือว่าสุขภาพของในภาคเหนือตอนบนที่ประสบหมอกควันเกินค่ามาตรฐานอยู่ในขั้นเสี่ยงด้วย.
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าวจาก ไทยนิวส์
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
|
|
|
แจ้งลบกระทู้นี้
อ่าน 1706 |
|
แสดงความคิดเห็น |
โดย กรรมกรข่าว
IP: Hide ip
, วันที่ 22 มี.ค. 52
เวลา 12:16:25
|