ชาวพะเยาตื่นพิสูจน์เงาพระธาตุกลับหัว ในวัดป่าสักคำ อายุกว่า 1,000  ปี ต.ท่าวังทอง อ.เมือง โดยเงาดังกล่าวเกิดจากการหักเหของแสง ซึ่งมักเกิดกับพระธาตุหรือพระเจดีย์เก่าแก่โบราณ เตรียมเสนอให้เป็นสถานที่เรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์ และธรรมะ...

เมื่อเวลาประมาณ 17.30 น. วันที่ 11 ก.พ. ได้มีกลุ่มชาวบ้าน ตำบลท่าวังทอง ได้พากันเดินทางเข้ามาพิสูจน์และดูเงาพระธาตุวัดป่าสักคำ หมู่ 8 ต.ท่าวังทอง อ.เมือง จ.พะเยา หลังจากที่ทางวัดได้รับนักเรียนหญิงเข้ามาศึกษาธรรมะในวัดและ ด.ญ.นักเรียน ที่พักในกุฏิได้เห็นเงาแสงพระธาตุส่องกลับหัวเข้ามาในห้องกุฏิ จึงรีบไปบอกเจ้าอาวาสรับทราบ จนกระทั่งชาวบ้านทราบเรื่องได้พากันเดินทางมาดูเพื่อพิสูจน์ความจริง

หลังจากนั้น  ผู้สื่อข่าวประจำจังหวัดพะเยาได้เข้าพบพระอธิการญาณวิทย์ อติธมโม อายุ 38 ปี รักษาการเจ้าอาวาสวัดป่าสักคำ หมู่ 8 ต.ท่าวังทอง อ.เมือง จ.พะเยา พร้อมด้วย พ.ต.ท.พิษณุ ศิริรัตน์ นายศรีเดช ธิวงศ์ นายกเทศมนตรีตำบลท่าวังทอง เพื่อขอทราบเรื่องที่เกิดเงาพระธาตุกลับหัววัดป่าสักคำ

จากการเปิดเผยของ พระอธิการญาณวิทย์ อติธมโม เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาทางวัดได้รับนักเรียนหญิง เข้ามาศึกษาธรรมะภายในวัดและได้จัดให้พักในกุฏิรับรองห้องที่ 2 ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกใกล้กับองค์พระธาตุ และ ด.ญ.คนดังกล่าว ที่อยู่ในห้องได้เห็นภาพเงาขององค์พระธาตุส่องลอดฝาประตูห้อง หน้ากุฏิเข้ามาภายในห้องกุฏิ เห็นเงาองค์พระธาตุกลับหัว และเป็นภาพเหมือนจริงทุกอย่างแล้วนำเอามาบอกให้ทราบ และได้ลองเอาผ้าขาวมาขึงไว้ภายในห้อง และปิดประตูห้องกุฏิดูภายในห้องพบว่ามีรูปองค์พระธาตุส่องเข้ามาในห้องสร้างความแปลกประหลาดใจ จึงได้เอาเรื่องไปปรึกษาหารือกับพ.ต.ท.พิษณุ ศิริรัตน์ พนักงานสอบสวน สภ.ปง. จ.พะเยา นายศรีเดช ธิวงศ์ นายกเทศมนตรีตำบลท่าวังทอง พร้อมด้วยคณะศรัทธา เพื่อจะได้หาแนวทางดูแลรักษาไว้ ให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว ด้านการศึกษาธรรมะ ด้านวิทยาศาสตร์ และอื่น ๆ

หลังจากหารือ นายศรีเดช ธิวงศ์ นายกเทศมนตรีตำบลท่าวังทอง ได้นำเรื่องเสนอให้กับนายเชิดศักดิ์ ชูศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา นำไปเพื่อหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อจะได้ให้วัดป่าสักคำแห่งนี้ เป็นสถานที่รองรับผู้คนที่จะเดินทางเข้ามาเที่ยวชมเงาองค์พระธาตุในโอกาสต่อไป สำหรับประวัติวัดป่าสักคำ (อรัญวาสี) อดีตเคยเป็นป่าไม้สักคำ เต็มไปหมดมีเนื้อที่ประมาณ 20 ไร่เศษ ต่อมาได้ปรับปรุงโดยอดีตพระ แต่ละรูปที่มาจำพรรษา พร้อมกับตั้งเป็นสำนักวิปัสสนากรรมฐาน เป็นสาขาวัดล่ำเปิง ตโปทาราม จนถึงปัจุบัน

ในอดีตวัดแห่งนี้เป็นสถานที่อยู่แนวเขตของอดีตกษัตริย์ผู้ครองเมืองพะเยา มากว่า 1,000 ปี ตั้งอยู่เลขที่236 หมู่ 8 ต.ท่าวังทอง อ.เมือง จ.พะเยา ชาวบ้านในถิ่นเรียกว่าเป็นม่อนเวียงปู่ล่าม พระธาตุดอยม่อน พระธาตุจอมก๊อ ซึ่งแล้วแต่ชาวบ้าน โบราณจะเรียก ซึ่ง อาจจะตรงกับ อดีตกษัตริย์ พ่อขุนจอมธรรม พ่อขุนเจืองธรรมิกราช พ่อขุนงำเมือง เป็นผู้สร้างวัดแห่งนี้ขึ้นมา จนกระทั่งวัดแห่งนี้ได้ล่มสลายเป็นวัดร้างมานาน เมื่อหลายร้อยปีที่ผ่านมา จนมีพระสงฆ์มาธุดงค์ จำพรรษา ได้ปรับปรุงพัฒนาวัดร้างแห่งนี้ จนเป็นวัดป่าสักคำ จนถึงทุกวันนี้

นายศรีเดช ธิวงศ์ นายกเทศมนตรีตำบลท่าวังทอง กล่าวว่า หลังจากที่ทราบข่าวพบเงาองค์พระธาตุ ได้มาดูพบว่าเป็นของจริงและได้ทำเรื่องนำเสนอ นายเชิดศักดิ์ ชูศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา เพื่อจะได้หาแนวทางพัฒนาวัดป่าสุกคำ ให้เป็นสถานที่ศึกษาธรรมะ ศึกษาด้านการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางด้านโบราณสถาน เพราะจากการสำตรวจเบื้องต้นพบว่าวัดแห่งนี้เป็นวัดที่มีการพบหลักฐานหลายอย่างที่บ่งบอกถึงความเก่าแก่ของสถานที่แห่งนี้

สำหรับเงาองค์พระธาตุนั้นเกิดจากองค์พระธาตุที่มีความสูง 25 เมตร ฐานกว้าง 15 เมตร ได้ก่อสร้างขึ้นมาทับองค์พระธาตุองค์เก่าที่มีอายุกว่า 1,000 ปี การเกิดเงาองค์พระธาตุนั้นนับว่า องค์พระธาตุ วัดป่าสักคำ เป็นแห่งที่ 1 ใน 3 ของภาค และเป็น 1 ใน6 ของประเทศไทย ที่มีการเกิดเงาหรือทางวิทยาศาสตร์เรียกว่าเกิดการหักเหของแสง แต่มีความแปลกเนื่องจาก การเกิดเงาหรือการหักเหของแสงมักจะเกิดกับองค์พระธาตุหรือพระเจดีย์ที่เก่าแก่โบราณ แทบทั้งสิ้น เหมือนที่เกิดแบบนี้กับองค์พระธาตุหรือองค์พระเจดีย์ เช่นเดียวกันกับพระธาตุวัดป่าสักคำ

สำหรับบรรยากาศทั่วไปในวัดนั้นมีผู้คนเดินทางเข้า ๆ ออก เพื่อมาชมเงาองค์พระธาตุ จนกระทั่งเย็นหมดแสงแดด และทางวัดจะได้จัดสถานที่ไว้รองรับผู้คนที่เดินทางมาเที่ยวชมตามโอกาสต่อไป

ข่าวจาก ไทยรัฐ