• หญิงวัยกลางคน ชี้เคยถูกละเมิด |
โพสต์โดย กรรมกรข่าว , วันที่ 16 ก.ค. 50 เวลา 10:21:30 IP: Hide ip |
กด like เพื่อติดตามข่าวสารดีๆ จาก cmprice.com VVVVVV
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
© เนื้อหาข่าว/กระทู้
นางอังศินันท์ อินทรกำแหง อาจารย์สถาบันวิจัยพฤติกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) กล่าววานนี้ (15 ก.ค.) ว่า จากการวิจัยเพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์เชิงเหตุและดัชนีวัดภาวะวิกฤติชีวิตผู้หญิงไทยวัยกลางคนสมรสแล้ว ที่ทำงานนอกบ้านในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดยทำการศึกษาผู้หญิงไทย ทำงานในหน่วยงานขนาดใหญ่ ของภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และเอกชนในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล ที่มีอายุ 35-55 ปี มีบุตรอย่างน้อย 1 คน จำนวน 1,375 คน จากหน่วยงาน 12 แห่ง พบว่าแนวโน้มผู้หญิงไทยทำงานนอกบ้านจะรับบทบาทหน้าที่การงานเท่าเทียมผู้ชาย รวมถึงการเป็นหัวหน้างาน มีบทบาทเป็นผู้นำ ผู้บริหารและทำงานเพื่อสังคมมากขึ้น และผู้หญิงจำนวนไม่น้อยยังต้องรับผิดชอบในการเลี้ยงดูลูกและดูแลบ้าน ขณะที่สรีระร่างกายฮอร์โมนเพศเริ่มร่วงโรย ทำให้เกิดความกดดันทั้งภายในร่างกายตัวเองและภายนอก ส่งผลให้เกิดความเครียดได้ง่าย ทั้งพบว่าจากการที่ผู้หญิงพบว่าปัญหาอาชญากรรมที่เป็นคดีอุกฉกรรจ์สะเทือนขวัญ เกิดขึ้นกับสตรีที่ทำงานนอกบ้านและเด็กเสมอ ทำ ให้ผู้หญิงกลุ่มนี้รู้สึกว่าขาดความมั่นคงปลอดภัยในชีวิต “ผู้หญิงที่ทำงานนอกบ้านยังประสบกับปัญหาที่ไม่สามารถเปิดเผยต่อสังคม หรือที่เป็นคดีความ จากการศึกษาของแพทย์ที่ให้การรักษาด้านจิตเวช พบว่าสตรีทำงานรวมทุกระดับใน 100 คน มีถึง 92 คนเคยถูกคุกคามทางเพศ ถูกลวนลาม ถูกละเมิดสิทธิ์ในที่สาธารณะ แม้กระทั่งบนรถโดยสารประจำทาง จากชายโรคจิต หรือผู้บังคับบัญชาในที่ทำงาน แต่ไม่กล้าเปิดเผยเพราะกลัวเสียชื่อเสียง จะส่งผลกระทบสภาพจิตใจและหน้าที่การงาน ประกอบกับค่านิยมเดิมที่ผู้หญิงส่วนใหญ่มักนิ่งเฉย และยอมจำนนต่อเหตุการณ์และความรุนแรงที่เกิดขึ้น กลัวส่งผลเสียต่อตัวเอง บุตร ครอบครัวและถูกคาดหวังจากสังคมให้ผู้หญิงไทยต้องมีความอดทน ล้วนแล้วแต่ทำให้ คุณภาพชีวิตของครอบครัวไทยถดถอยลง” นางอังศินันท์กล่าว นางอังศินันท์ยังเปิดเผยด้วยว่า ผลการวิจัยระบุว่า การรับรู้ภาวะวิกฤติชีวิตของผู้หญิงไทย ซึ่งแต่งงานแล้วและทำงานภาครัฐเกิดขึ้นมาก มีสาเหตุจากการมีสัมพันธภาพกับเพื่อนบ้านน้อย ชุมชนที่อยู่อาศัยไม่น่าอยู่ อีกทั้งภาระงานมาก มีความก้าวหน้าในงานน้อย มีความคลุมเครือในงานมาก ได้รับแรงสนับสนุนจากผู้ บังคับบัญชาน้อย เกิดภาวะวิกฤติสูงถึงร้อยละ 95 ขณะที่ผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว และทำงานรัฐวิสาหกิจและเอกชน เมื่อมีปัญหาด้านครอบครัวและด้านการงานจะรับรู้ภาวะวิกฤติชีวิตของตัวเองได้มาก ทั้งพบว่าหากครอบครัวไหนมีความสุขจะส่งผลไปถึงกำลังใจในการทำงาน ซึ่งผู้หญิงที่แต่งงานแล้วและต้องทำงาน หากได้รับการสนับสนุนจากครอบครัว จะสามารถเผชิญปัญหา และปรับตัวต่อความเครียดได้ดีกว่าผู้หญิงที่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากครอบครัว นอกจากนี้ หากครอบครัวไหนผูกพันทางศาสนาน้อย และงานที่ต้องรับผิดชอบมีความคลุมเครือมาก จะส่งผลให้ผู้หญิงคนนั้นมีภาวะวิกฤติชีวิตสูงกว่าครอบครัวที่ผูกพันทางศาสนามาก ดังนั้นศาสนาเป็นสิ่งช่วยยึดเหนี่ยวผู้หญิงวัยนี้ได้เป็นอย่างดี ซึ่งทั้งส่วนของที่ทำงาน ครอบครัว และภาครัฐ ควรมีหน่วยงานที่ให้คำปรึกษากับปัญหาต่างๆ ให้กับสตรีวัยกลางคนโดยเฉพาะ หรือมีเครือข่ายเพื่อนผู้หญิงวัยเดียวกัน เพื่อเฝ้าระวังภาวะวิกฤตินี้ ข่าวจาก ไทยรัฐ
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
|
|
|
แจ้งลบกระทู้นี้
อ่าน 1403 |
|
แสดงความคิดเห็น |
โดย กรรมกรข่าว
IP: Hide ip
, วันที่ 16 ก.ค. 50
เวลา 10:21:30
|