ลิงก์ผู้สนับสนุน
© เนื้อหาข่าว/กระทู้
เมื่อเวลา 10.00 น. วานนี้ (20 ธ.ค.) ที่สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 8 รัชดาภิเษก น.ส.เปมิกา วีรชัชรักษิต อายุ 25 ปี น.ส.ฤทัย หรือ แนน รุ่งสิริเมธากุล อายุ 23 ปี นายณัฐพล หรือ ภาสยภูริณฐ์ หรือ ตั้ม พรมประไพร อายุ 28 ปี และนายวทัญญู หรือ ปุ้ย ตันธีระพงศ์ อายุ 27 ปี ทั้งหมดเป็นนักศึกษา ผู้ต้องหาคดีฉ้อโกงทรัพย์ พร้อมด้วยนายอภิชาติ จรสาย ทนายความ เข้ารับฟังการสั่งคดีจากพนักงานอัยการ ซึ่งอัยการมีความเห็นให้สั่งฟ้อง จากนั้นได้นำตัวมายื่นฟ้องเป็นจำเลยที่ 1-4 ต่อศาลอาญา ในความผิดฐานฉ้อโกงทรัพย์สินของบุคคลอื่น โดยอาศัยความอ่อนแอทางจิตของเจ้าของทรัพย์สิน
ตามคำฟ้องระบุความผิดพวกจำเลยว่า เมื่อระหว่างเดือนต.ค.2549 ถึง เดือนพ.ย.2550 เวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกัน น.พ.ประกิตเผ่า ทมทิตชงค์ เจ้าของสถาบันกวดวิชาชื่อดัง "แอพพลายด์ ฟิสิกส์" ผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งมีความอ่อนแอทางจิต มีความผิดปกติทางด้านภาวะจิตใจ เป็นโรคจิตอารมณ์แปรปรวน หลงผิดแยกไม่ได้ว่าข้อมูลใดเป็นความจริง ขาดความยับยั้งชั่งใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีคนอื่นชักจูง จึงหลงเชื่อตามคำหลอกลวงและการสร้างสถานการณ์ของจำเลยทั้งสี่ โดยเข้าใจว่าตัวเองสามารถนั่งสมาธิจนสำเร็จญาณขั้นสูง สามารถระลึกชาติได้ ถอดจิตได้ มีอำนาจที่บุคคลธรรมดาไม่สามารถทำได้ และยังเชื่อว่าจำเลยที่ 1 มีความสามารถนั่งสมาธิจนสามารถเข้าสู่ฌานและสามารถระลึกชาติได้เช่นกัน
จากนั้น พวกจำเลยได้ร่วมกันฉ้อโกงทรัพย์สินผู้เสียหายที่ 1 หลายครั้งหลายหน โดยร่วมกันสร้างสถานการณ์และหลอกลวงจนเข้าใจว่า จำเลยที่ 1 เคยเป็นภรรยาผู้เสียหายที่ 1 เมื่อ 99 ภพชาติที่ผ่านมา มีหนี้กรรมต้องชดใช้กันในชาตินี้ โดยผู้เสียหายที่ 1 เป็นขุนศึก เคยมีม้าชื่อ "นิลพยัคฆ์" และ "นิลมังกร" ในชาตินี้ จึงขอให้ผู้เสียหายที่ 1 ซื้อรถเก๋งยี่ห้อโตโยต้า คัมรี่ สีดำ มูลค่า 1,539,000 บาท รวมทั้งเงินสดจำนวน 980,000 บาท เพื่อซื้อแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ สห 9999 ให้แก่จำเลยที่ 1
นอกจากนี้ พวกจำเลยยังได้หลอกผู้เสียหายที่ 1 ว่า จำเลยที่ 1 ได้ถูกนางอลิสา ทมทิตชงค์ ผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งเป็นภรรยาของผู้เสียหายที่ 1 ฆ่าตายทุกภพทุกชาติ ดังนั้น เพื่อไม่ให้ผู้เสียหายที่ 2 มาฆ่าจำเลยที่ 1 อีกในชาตินี้ จึงให้ผู้เสียหายที่ 1 เช่าพระเครื่องล้อมกรอบทองคำ 15 องค์ และล้อมกรอบสเตนเลส จำนวน 10 องค์ รวมเป็นเงิน 500,000 บาท มอบให้แก่จำเลยที่ 1 ต่อมาจำเลยทั้งสี่ได้หลอกผู้เสียหายที่ 1 ว่า จำเลยที่ 1 ระลึกชาติได้เห็นผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งเป็นขุนศึกสมัยกรุงศรีอยุธยากวาดต้อนจำเลยที่ 1 อยู่ด้วย เป็นเหตุให้กำไลข้อมือสูญหายไป จึงขอให้ผู้เสียหายที่ 1 ซื้อนาฬิกายี่ห้อโรเล็กซ์ 1 เรือน มูลค่า 245,000 บาท มาคืนให้แทนกำไล
อีกทั้งจำเลยทั้งสี่ร่วมกันหลอกผู้เสียหายที่ 1 ว่า จำเลยที่ 1 ระลึกชาติได้เห็นผู้เสียหายที่ 1 เคยมอบแหวนไว้ให้จำเลยที่ 1 มาก่อน จึงขอให้ผู้เสียหายที่ 1 ซื้อแหวนเพชรมูลค่า 145,000 บาท ให้แก่จำเลยที่ 1 อีก และพวกจำเลยได้หลอกลวงผู้เสียหายที่ 1 ว่า นาง อลิสา ผู้เสียหายที่ 2 จะทำร้าย จึงขอให้พกปืนไว้ป้องกันตัว ผู้เสียหายที่ 1 จึงมอบปืนพก 3 กระบอก มูลค่า 200,000 บาท ของผู้เสียหายที่ 1 และที่ 2 ให้พวกจำเลยไป
อัยการโจทก์ยังระบุฟ้องด้วยว่า จำเลยทั้งสี่ร่วมกันหลอกลวงผู้เสียหายที่ 1 ทำนองว่า นางอลิสา ผู้เสียหายที่ 2 จะมาทำร้าย ต้องหาที่อยู่อาศัยเหมาะที่จะพบกัน เพื่อนั่งสมาธิและหลบภัย ผู้เสียหายที่ 1 จึงไปเช่าคอน โดมิเนียม 2 ห้อง มูลค่า 410,000 บาท ให้แก่พวกจำเลย ต่อมาจำเลยทั้งสี่ร่วมกันหลอกลวงผู้เสียหายที่ 1 ว่า เคยวางเพลิงเผาบ้านของจำเลยที่ 1 เมื่อชาติภพก่อน ต้องชดใช้หนี้กรรมด้วยการซื้อบ้านหลังใหม่ให้ ผู้เสียหายที่ 1 หลงเชื่อ จึงนำเงินจำนวน 250,000 บาท ไปวางมัดจำเพื่อซื้อบ้านในหมู่บ้านปริญญาดา แขวงบางไผ่ เขตบางแค กทม. ให้แก่จำเลย โดยพวกจำเลยได้หลอกผู้เสียหายที่ 1 ว่า นางอลิสา ผู้เสียหายที่ 2 ใช้ไสยศาสตร์ทำคุณไสยใส่จำเลยที่ 1, 3 และ 4 จึงขอให้ผู้เสียหายที่ 1 ซื้อสร้อยคอและพระเครื่องพร้อมกรอบทอง 10 องค์ เบี้ยแก้คุณไสย รวมเป็นเงิน 140,000 บาท ให้แก่พวกจำเลยเพื่อใช้ป้องกันอันตราย
ท้ายคำฟ้อง อัยการยังระบุถึงพฤติการณ์ด้วยว่า จำเลยทั้งสี่ยังร่วมกันหลอกผู้เสียหายที่ 1 โดยอ้างว่าจำเลยที่ 1 ซึ่งกำลังศึกษาในมหาวิทยาลัย ต้องการย้ายคณะ เพราะถูกบุคคลระดับสูงข่มเหงลวนลาม จำเป็นต้องใช้เงินจำนวน 50,000 บาท ในการวิ่งเต้นโยกย้ายคณะ ผู้เสียหายที่ 1 หลงเชื่อจึงมอบเงินให้แก่พวกจำเลยไป และจำเลยทั้งสี่ร่วมกันหลอกผู้เสียหายที่ 1 ทำนองว่า เป็นขุนศึกคุมทหารยกทัพมาเผาบ้านของจำเลยที่ 1 แล้วปล้นเอาเงินของจำเลยที่ 1 และครอบครัว เทียบกับค่าเงินในปัจจุบันจำนวนกว่า 5 ล้านบาท ผู้เสียหายที่ 1 หลงเชื่อ จึงนำเงินของตนและเงินของนางอลิสา และร.ศ.เพลินจิต ทมทิตชงค์ ผู้เสียหายที่ 2-3 จำนวน 4,586,287 บาท เพื่อชดใช้หนี้กรรมให้แก่พวกจำเลยไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตน โดยทุจริต รวมทั้งสิ้น 9,658,000 บาท เหตุเกิดที่แขวงและเขตปทุมวัน แขวงและเขตพญาไท กทม. และที่อื่นเกี่ยวพันกัน ต่อมาวันที่ 16 ต.ค.2550 พนักงานสอบสวนกองปราบฯ แจ้งข้อกล่าวหาแล้ว จำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ
ศาลประทับรับฟ้องไว้เป็นคดีดำที่ อ.4553/50 และสอบคำให้การ ซึ่งจำเลยทั้งหมดแถลงให้การปฏิเสธ ศาลจึงนัดแถลงเปิดคดีวันที่ 25 ก.พ.2551 เวลา 09.00 น. ขณะที่ น.ส.เปมิกาได้ให้สัมภาษณ์ระหว่างเดินทางมาศาลอาญาว่า รู้สึกสบายใจมากขึ้นกับเรื่องนี้ และยังคงให้การปฏิเสธกับข้อหาที่เกิดขึ้นและครั้งนี้ถือว่าเป็นโอกาสที่ตนได้พิสูจน์ตัวเอง เพราะเรื่องทุกอย่างจะชัดเจนมากขึ้น อย่างเช่นทุกครั้งที่มีการไกล่เกลี่ยกัน ตนก็ได้ให้ความร่วมมือกับศาลมาโดยตลอด แต่ก็ไม่สามารถไกล่เกลี่ยกันได้ หลังจากนี้ก็จะขอยื่นประกันตัวเพื่อสู้คดีต่อไป และอยากให้บทสรุปเรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์โดยเฉพาะกับผู้หญิงด้วยกัน
อย่างไรก็ตาม ในวันเดียวกันนี้ เกิดเหตุขลุกขลักนิดหน่อยในการยื่นคดีฟ้องต่อศาล เนื่องจากพนักงานอัยการต้องแก้ไขคำฟ้องในส่วนของน.ส.เปมิกา ที่เปลี่ยนชื่อและนามสกุล เป็น "สิริรัษสิริ เหลืองเรณูกุล"
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
|