ฟุตบอล คาร์ลิ่ง คัพ (นัดชิงชนะเลิศ ฤดูกาล 2007/08)
สเปอร์ส (พรีเมียร์ลีก) 1 - เชลซี (พรีเมียร์ลีก) 1
(ต่อเวลาพิเศษ สเปอร์ส ชนะ 2-1)
นัดชิงดำฟุตบอลถ้วยใบเล็กของเมืองผู้ดีที่นิว เวมบลีย์ซึ่งเป็นศึกลอนดอน ดาร์บี้ แมตช์ สเปอร์สขาดไมเคิ่ล ดอว์สันที่ยังเจ็บไม่หาย แต่ไม่เป็นปัญหากัปตันเล็ดลีย์ คิงฟิตเปรี๊ยะลงคุมแนวรับได้ สภาพทีมจึงสมบูรณ์ไม่แพ้ "แชมป์เก่า" เชลซีซึ่งทั้งจอห์น เทอร์รี่และแฟร้งค์ แลมพาร์ดได้ลงเล่นเป็นตัวจริงทั้งคู่ ยังผลให้มิชาเอล บัลลัคกับโจ โคลหล่นไปนั่งเป็นตัวสำรอง
เกมเริ่มขึ้นโดยเชลซีได้เริ่มเขี่ยบอลก่อน แต่ชูเลียโน่ เบลเลตติแบ็คขวากลับทำพลาดมหันต์ตั้งแต่หัววันผ่านบอลเข้ากลางแย่ถูกร็อบบี้ คีนฉกไปลากมาถึงหน้าเขตโทษแล้วตัดสินใจกระหน่ำทันที แต่มีเทอร์รี่ปรี่เข้าบล็อคทันทำให้บอลแฉลบออกนอกกรอบไปอย่างหวุดหวิด สิงห์บลูส์จึงรอดพ้นจากการเสียความบริสุทธิ์ตั้งแต่วินาทีที่ 23
ไก่เดือยทองขึ้นเกมรุกต่อเนื่องทันที และจากลูกเตะมุมด้านซ้ายในนาทีที่ 8 ปาสกาล ชิมบงด้าก็ได้โขกลูกย้อยที่เสาไกลระยะ 8 หลาชนิดที่ปีเตอร์ เช็คไม่อยู่ในตำแหน่งที่จะเซฟได้แล้ว แต่ดวงของทีมเงินถังยังแข็ง บอลลอยไปตกใส่คานกระดอนออกมา
ภาพรวมของเกมยังเป็นสเปอร์สที่คุมสถานการณ์เอาไว้ได้เหนือกว่า กระทั่งนาทีที่ 28 คีนก็เก็บบอลโยนโด่งได้จึงป้ายคืนให้สตีด มัลบร็องค์สับไกจากหน้าเขตโทษด้านซ้ายแต่เช็คพุ่งปัดหลุดเสาแรกได้ทัน
จากนั้นในนาทีที่ 33 เชลซีก็มีลุ้นบ้างเมื่อดิดิเยร์ โซโกร่ากองกลางตราไก่ทำทะเล่อทะล่าชนฌอน ไรท์ ฟิลลิปส์ล้มหน้าเขตโทษจึงเป็นลูกฟรีคิกระยะ 25 หลาของมหาเศรษฐี แต่ดิดิเยร์ ดร็อกบาวิ่งเข้าปั่นโด่งออกไป
อย่างไรก็ดี ถัดมาในนาทีที่ 39 โซโกร่าเจ้าเก่าก็ทำให้สเปอร์สเสียหายจนได้จากจังหวะพุ่งเข้าอัดดร็อกบาร่วงหน้าเขตโทษด้านซ้ายแบบไม่มีเชิงอีก เชลซีจึงมีโอกาสส่องฟรีคิกระยะ 25 หลาอีกหนโดยที่ดาวเตะผิวสีรับใบเหลืองไปด้วย และคราวนี้หัวหอกไอวอรี่ โคสต์ไม่พลาดเป็นซ้ำสองลุกขึ้นมาซัดฟรีคิกเสียบเสาไกลผ่านพอล โรบินนสันซึ่งเลือกยืนอยู่กลางประตูและไม่ทันขยับตัวได้สำเร็จ จึงเป็นอันว่าแชมป์เก่านำหน้า 1-0
ไก่เดือยทองพยายามทวงคืนทันทีหลังเขี่ยบอลใหม่และจากลูกโยนยาวคีนก็ได้พลิกตัววอลเลย์ระยะ 16 หลาทว่าลูกพุ่งเข้าซองเช็คพอดี ครบ 45 นาทีทีมของอาฟราม แกรนท์จึงนำไปก่อนหนึ่งเม็ด
ครึ่งหลังสิงโตน้ำเงินครามพลิกกลับมาเป็นฝ่ายคุมจังหวะเอาไว้ด้วยการเน้นดึงเกมให้ช้าไม่ปล่อยให้อริร่วมเมืองมีโอกาสทำเสียวง่ายๆอีก จวบจนนาทีที่ 63 ฆวนเด้ รามอสกุนซือไก่ก็เปลี่ยนให้ทอม ฮัดเดิลสตันลงไปกู้สถานการณ์โดยถอดชิมบงด้าปราการหลังออก ทำเอาดาวเตะเฟร้นช์แมนเดินออกจากสนามด้วยความไม่พอใจ
อย่างไรก็ดี ล่วงมาอีกเจ็ดนาที อาร่อน เลนน่อนก็ลากบอลไปโยนจากกราบซ้ายเข้าเสาไกลแล้วเวย์น บริดจ์ เข้าแย่งลูกในจังหวะขลุกขลิกกับฮัดเดิลสตันก่อนจะใช้ท่อนแขนสะกิดบอลแล้วไลน์แมนยกธงขึ้นมา ผู้ตัดสินจึงวิ่งไปปรึกษาก่อนจะเป่าให้เป็นลูกโทษ ดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟจึงสังหารเข้าไปแบบนิ่มเท้าช่วยให้สเปอร์สตีเสมอเป็น 1-1
เท่านั้นเองเชลซีก็ส่งซาโลมง กาลูลงบู๊แทนไรท์ ฟิลลิปส์ที่ไม่มีพิษสงทันที และพริบตาเดียวในนาทีที่ 72 จากลูกโยนขึ้นหน้าของทีมจอมชอป โจนาธาน วู้ดเกตก็เสียเหลี่ยมให้ดร็อกบาในจังหวะแย่งกันโหม่ง แต่ลูกยิงระยะ 16 หลาของสตาร์สิงห์บลูส์ถูกคิงตามมาบล็อคได้อย่างหวุดหวิด
นาทีที่ 75 ทีมตราไก่เปลี่ยนตัวอีกครั้งให้ตีมู ไตนิโอลงเล่นแทนมัลบร็องค์ และดึงเกมกลับมาเป็นของตัวเองได้อีกคำรบ กระทั่งนาทีที่ 81 โซโกร่าก็ได้โอกาสทองฝังเพชรหลุดเดี่ยวมาคนเดียวแล้วกระชากเข้าเขตโทษไปตะบันโดนใบหน้าเช็ค กองกลางแอฟริกันจึงตามไปซ้ำแต่กลับส่งบอลโด่งเชิดคานออกไปอย่างไม่น่าเชื่อ
จากนั้นอีกสามนาที เลนน่อนก็ผ่านบอลจากกราบซ้ายให้เบอร์บาตอฟพลิกยิงจากระยะ 16 หลาแต่เช็คยังเหนียวผวาปัดช่วยชีวิตต้นสังกัดได้อีก จวบจนนาทีที่ 88 ทีมตราสิงห์ก็เปลี่ยนมิชาเอล เอสเซียงออกให้บัลลัคลงไปแทน แต่เป็นสเปอร์สที่ได้ลุ้นในช่วงทดเวลาบาดเจ็บเมื่อฮัดเดิลสตันทุ่มลูกไกลจากด้านซ้ายเข้าเขตโทษแล้ววู้ดเกตโขกต่อไปหน้าประตู แต่คีนหันหลังให้ตาข่ายอยู่จึงต้องตีลังกายิงส่งบอลโด่งข้ามคาน ครบ 90 นาทีทั้งคู่จึงเสมอกันไป 1-1 ต้องดวลกันต่ออีกครึ่งชั่วโมง
เริ่มบู๊กันอีกยกมาถึงนาทีที่ 94 ไก่เดือยทองก็มาได้ลูกฟรีคิกทางด้านซ้าย เจอร์เมน จีนาสจึงวางยาวเข้าเขตโทษแล้วเช็คออกมาปัดบอลลูกโหม่งระยะ 8 หลาของวู้ดเกตไปกระทบใบหน้าเซ็นเตอร์ฮาล์ฟทีมชาติอังกฤษทำให้บอลกระดอนเข้าตุงตาข่ายเป็นสกอร์แซงนำ 2-1 ของสเปอร์สจนได้ พร้อมกับเป็นประตูแรกของเขาในสีเสื้อทีมใหม่
เขี่ยบอลใหม่กันได้อีกสองนาที จอห์น โอบี มิเกลก็โดนจดชื่อในจังหวะขวางการลากลุยของเลนน่อน ก่อนที่สิงห์บลูส์จะถอดดาวเตะไนจีเรียออกโดยมีโจ โคลลงมาแทนเป็นไพ่ใบสุดท้ายในนาทีที่ 98 และมีลุ้นจากลูกฟรีคิกทางด้านซ้ายริมกรอบเขตโทษในนาทีที่ 100 แต่โรบินสันกระโจนไปปัดลูกซัลโวที่เสาแรกของแลมพาร์ดได้อย่างเฉียดฉิว
นาทีที่ 103 สเปอร์สเปลี่ยนผู้เล่นรายสุดท้ายให้ยูเนส กาบูลลงไปแทนคีนที่เริ่มเดินกระเผลก และอีกครู่เดียวริคาร์โด้ คาร์วัลโญ่ก็ทะยานเข้าเสียบโซโกร่าอันตรายจึงมีใบเหลืองเป็นรางวัล จบครึ่งแรกกุ๊กไก่จึงนำอยู่ 2-1
ช่วงต่อเวลาพิเศษครึ่งหลัง เชลซี บุกกดดันอย่างหนัก ทว่ากลับไม่ผ่านมือ พอล โรบินสัน จบเกม สเปอร์ส พลิกแซงชนะ 2-1 คว้าแชมป์ คาร์ลิ่ง คัพ ได้เป็นครั้งแรกในรอบ 9 ปี
รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม
สเปอร์ส : พอล โรบินสัน, อลัน ฮัตตัน, โจนาธาน วู้ดเก็ต, เล็ดลี่ย์ คิง, ปาสกาล ชิมบงด้า, อารอน เลนน่อน, เจอร์เมน จีนาส, ดิดิเย่ร์ โซโกร่า, สตี๊ด มัลบร็องก์, ดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ, ร็อบบี้ คีน
เชลซี : ปีเตอร์ เช็ก, ชูเลียโน่ เบลเล็ตติ, ริคาร์โด้ คาร์วัลโญ่, จอห์น เทอร์รี่, เวย์น บริดจ์, ฌอน ไรท์-ฟิลิปส์, มิชาเอล เอสเซียง, แฟร้งค์ แลมพาร์ด, จอห์น โอบิ-มิเกล, นิโกล่าส์ อเนลก้า, ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา
ทำเนียบแชมป์
1 ลิเวอร์พูล 7 สมัย
2 แอสตัน วิลล่า 5 สมัย
3 น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ 4 สมัย
- เชลซี 4 สมัย
5 สเปอร์ส 3 สมัย
- เลสเตอร์ 3 สมัย
7 อาร์เซน่อล 2 สมัย
- แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 2 สมัย
- นอริช 2 สมัย
- แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 2 สมัย
- วูล์ฟแฮมป์ตัน 2 สมัย
* เบอร์มิงแฮม, แบล็คเบิร์น, ลีดส์, ลูตัน, มิดเดิ้ลสโบรช์, อ็อกซ์ฟอร์ด, ควีนส์พาร์ค, เชฟฟิลด์ เว้นสเดย์, สโต๊ค, สวินดอน ทาวน์, เวสต์บรอมวิช 1 สมัย
** เอฟเวอร์ตัน, เวสต์แฮม และ โบลตัน เป็น 3 ทีมที่เคยผ่านเข้าชิงฯรายการนี้ตั้งแต่ 2 ครั้งขึ้นไป แต่ไม่เคยได้แชมป์มาครองแม้แต่ครั้งเดียว