เมื่อวันที่ 30 มีนาคม พญ.สร้อยสอางค์ พิกุลสด ผอ.ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย กล่าวว่า หลังจากสภาการชาดไทยตรวจพบเลือดที่ได้การบริจาคว่า มีการติดเชื้อเอชไอวีเพิ่มสูงขึ้น จนต้องคัดแยกเลือดทิ้งวันละหลายยูนิตเพื่อความปลอดภัย ดังนั้น สภากาชาดไทยจึงจำเป็นต้องยืนยันที่จะปฏิเสธการรับเลือดบริจาคจากผู้ที่มีพฤติกรรมรักร่วมเพศและผู้หญิงที่เคยมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายในประเทศที่มีการระบาดของโรคเอดส์สูง
โดยคณะอนุกรรมการวิชาการของสภากาชาดไทย มีมติเป็นเอกฉันท์ที่จะไม่ตัดข้อสอบถามในใบสมัครผู้บริจาคโลหิตข้อ12 ที่ระบุว่า ท่าน หรือคู่ของท่านมีเพศสัมพันธ์กับเพศเดียวกันใช่หรือไม่ออกไป ตามที่องค์กรเครือข่ายอัตลักษณ์ทางเพศร้องเรียนว่าเป็นการจำกัดสิทธิของกลุ่มเพศที่3 นอกจากนี้ ยังเพิ่มข้อความใหม่ในข้อที่11 ของเอกสารดังกล่าว ด้วยว่า ท่านหรือคู่ของท่าน ทั้งชายและหญิงมีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศกับผู้อื่นใช่หรือไม่ รวมทั้งยังเพิ่มข้อความในข้อที่12 ใหม่ เป็น ท่าน หรือคู่ของท่าน ทั้งชายและหญิงมีเพศสัมพันธ์กับเพศชายด้วยกันใช่หรือไม่อีกด้วย
พญ.สร้อยสอางค์ กล่าวต่อว่า ข้อสรุปดังกล่าวจะนำเข้าสู่ที่ประชุมของคณะกรรมการสภากาชาดไทยชุดใหญ่อีกครั้ง ซึ่งในที่ประชุมคณะอนุกรรมการมีข้อถกเถียงในรายละเอียดเรื่องถ้อยคำบางส่วนที่อาจจะต้องมีการเปลี่ยนแปลง เช่น ข้อความในข้อที่ 12 เรื่องการมีเพศสัมพันธ์กับเพศชายด้วยกันนั้น จะเป็นการตอกย้ำกลุ่มชายรักชายหรือไม่ ซึ่งในที่ประชุมใหญ่ก็อาจหารือกันอีกครั้ง แต่คาดว่าคงจะใช้ตามที่คณะอนุกรรมการเสนอ
"ในแต่ละวันมีการคัดเลือดจากผู้บริจาคทิ้ง เนื่องจากพบว่าเลือดดังกล่าวมีเชื้อเอชไอวีอยู่ หลังจากนั้นจะเชิญผู้บริจาคมาสอบถามสาเหตุ ซึ่งมีทั้งหญิงและชาย แต่ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชาย และเมื่อสอบถามถึงพฤติกรรมเชิงลึกพบว่า ชายเหล่านั้นเป็นกลุ่มรักร่วมเพศโดยไม่เปิดเผยและได้มีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกันโรค ดังนั้น ถ้ามีบุคคลที่เป็นตุ๊ด แต๋ว หรือชายแต่งหญิงมาบริจาคโลหิตคงต้องคัดผู้บริจาคเหล่านี้
วันนี้ต้องถามสังคมและโยนความรับผิดชอบให้กับผู้บริจาคโลหิตทุกคนที่ต้องการจะมาทำบุญช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันว่า เลือดในตัวคุณเองมีคุณภาพมากเพียงใด และการอยากทำบุญเหมือนกับใส่บาตรกับพระสงฆ์ ก็ต้องทำอาหารที่ดี ชั้นเลิศถวายพระ กรณีนี้ก็เช่นเดียวกัน จำเป็นต้องถามตัวเองว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงหรือไม่ ซ้ำร้ายบางคนยังคิดว่าจะมาบริจาคเลือดเพื่อถือโอกาสตรวจร่างกาย ตรวจเลือดตัวเองเป็นเรื่องหลักและการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์เป็นเรื่องรองด้วยซ้ำ ซึ่งความเชื่อผิดๆ เหล่านี้เกิดขึ้นแล้วในสังคมไทย" พญ.สร้อยสอางค์ กล่าว
ด้าน นายนที ธีระโรจนพงษ์ ผอ.กลุ่มเกย์การเมืองไทย กล่าวว่า ยอมรับว่าปัจจุบันความเสี่ยงในกาติดเชื้อเอชไอวีของกลุ่มเกย์สูงจริง โดยเฉพาะบรรดาเกย์ที่นิยมไปใช้บริการเซาน่าเกย์ ซึ่งในอดีตจะคัดกรองลูกค้า แต่ปัจจุบันปรากฏว่า ซาวน่าเกย์เปิดกันอย่างโจ๋งครึ่ม ตามย่านต่างๆ ใน กทม. เช่น คลองตัน งามดูพลี ไปจนถึงบนตึกต่างๆ ย่านถนนสีลม โดยส่วนใหญ่จะบรรยากาศเย้ายวนต่อการมีเพศสัมพันธ์ เช่น ไปสลัว ทำห้องมืดๆ เช่น ห้องอบไอน้ำ หรือแม้แต่ห้องเวิร์ก ซึ่งจัดเพื่อการมีเพศสัมพันธ์โดยตรง
นายนที กล่าวอีกว่า ก่อนหน้านี้ กระทรวงสาธารณสุขได้เปิดเผยตัวเลขการทำสำรวจการติดเชื้อเอดส์ในกลุ่มชายรักชายว่ามีอัตราเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะมีการติดเชื้อในเซาน่าที่ให้บริการเฉพาะกลุ่มชาวเกย์ โดยเฉพาะใน กทม.มีการติดเชื้อเอชไอวีสูงถึง 28% ขณะที่ทั่วประเทศมีอัตราการติดเชื้อเฉลี่ยประมาณ17% ทำให้เกิดความระแวงต่อกลุ่มเกย์ และชายรักชายที่ไม่ใช่กะเทย โดยทางสภากาชาดไทยได้ออกประกาศงดรับการบริจาคโลหิตจากผู้ที่มีพฤติกรรมรักร่วมเพศ ซึ่งบรรดาเครือข่ายองค์กรเกย์ได้มีการหารือกับทางสภากาชาดไทยแล้วก็ได้รับการยืนยันว่าสภากาชาดไทยจำเป็นต้องมีมาตรการในการคัดกรองโลหิตที่มีความปลอดภัยให้แก่ผู้รับบริจาค และกลุ่มเกย์ กะเทยที่มีพฤติกรรมรักร่วมเพศก็เป็นกลุ่มเสี่ยงที่ทางสภากาชาดไทยคงต้องขอปฏิเสธที่จะรับบริจาคเลือด
ข้อมูลจาก
ภาพประกอบทางอินเทอร์เน็ต