แม้ว-อ้อ เตียงหัก สะบั้นรักที่ฮ่องกง ปิดฉากหวาน 32 ปี “ผมหย่ากับคุณหญิงแล้วนะ” จู่ๆ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ก็ทะลุกลางปล้องขึ้นมาท่ามกลางวงสนทนา คำบอกเล่านั้นสะกดบรรดา สส.พรรคพลังประชาชนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งเดินทางไปพบเมื่อวานนี้ ถึงกับนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ
พ.ต.ท.ทักษิณ ขยายความว่า เพิ่งไปหย่าขาดกับคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภรรยาคู่ทุกข์คู่ยาก อยู่กินกันมานานถึง 32 ปี เมื่อสายวานนี้ ที่สถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองฮ่องกง ใครบางคนที่นั่งอยู่ในวงนั้นบอกว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เล่าเรื่องนี้ด้วยท่าทางสบายๆ ดูเหมือนไม่ทุกข์ร้อนใจอะไรแม้แต่นิด เมื่อเจ้าตัวไม่ทุกข์ก็ไม่ต้องปลอบใจ ไม่ต้องซัก แต่สำหรับพวกเขาแล้ว นี่คือสัญญาณบอกว่า ทักษิณจะหวนคืนเวทีการเมือง ก่อนหน้านี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนต่างประเทศหลายครั้งหลายคราในทำนองทีเล่นทีจริงว่า “ถ้ากลับไปเล่นการเมืองวันไหน เมียบอกว่าจะขอหย่า” แต่ในมุมมองของคนที่ไม่ได้เป็นปลื้มกับทักษิณนัก ก็ตั้งคำถามว่า นี่เป็นการตบตาเพื่อหวังผลในเรื่องการยักย้ายถ่ายเทมหาทรัพย์สมบัติหรือหวัง ผลต่อรูปคดีหรือไม่?
นายสัก กอแสงเรือง อดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ไขความนี้ว่า ถ้าทั้งสองหย่ากันจริง ก็ต้องมีผลต่อการจัดการทรัพย์สิน ซึ่งเป็นสินสมรส แต่จะแบ่งกันเท่าใด อย่างไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้น แต่จะไม่เป็นผลต่อคดีใดทั้งสิ้น ไม่ว่าคดีที่ดินรัชดาภิเษก หรือแม้แต่คดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาท เพราะคดีที่ดินรัชดาฯ นั้น ศาลได้ตัดสินจำคุก พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งเป็นโทษอาญาอันเป็นโทษเฉพาะตัว อีกทั้งเป็นความผิดสำเร็จแล้ว ส่วนอีกคดีนั้น คตส.ชี้ว่า เงินที่ได้จากการขายหุ้นและได้จากการใช้อำนาจโดยมิชอบในระหว่างเป็นนายกฯ ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมานร่ำรวยผิดปกติ ถึงจะหย่าบุคคลทั้งสองก็ยังมีหน้าที่ต้องหาพยานหลักฐานมาพิสูจน์ว่าเงิน 7.6 หมื่นล้านบาท ได้มาอย่างไรอยู่ดี “อาจจะเป็นเหตุผลภายในครอบครัวมากกว่า ตอนนี้ พ.ต.ท.ทักษิณหลบหนีโทษจำคุก คุณหญิงพจมานจะทำธุรกิจหรือทำ นิติกรรมอะไรก็ลำบาก เพราะต้องให้คู่สมรสเซ็นยินยอม ถ้าหย่าเสียก็จะทำนิติกรรมตาม ลำพังได้ดีกว่า”
นายสัก กล่าว ว่ากันว่า เบื้องหลังความสำเร็จของผู้ชายคนหนึ่งนั้นมักมีสตรีอยู่เบื้องหลังเสมอ หญิงคนนั้นถ้าไม่ใช่แม่ก็เมีย สำหรับกรณี พ.ต.ท.ทักษิณแล้วเขาบอกว่า มันคืออย่างหลัง พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวไว้เมื่อหลายปีก่อนในหนังสือประวัติของเขาเล่มแรกว่า ผมยอมรับว่าผมเป็นคนมีข้อบกพร่อง มีจุดอ่อนหลายอย่าง ไม่ใช่คนเก่งสมบูรณ์แบบ เพราะฉะนั้นผมจึงต้องการผู้สนับสนุน ซึ่งผมเห็นว่าผู้เหมาะสมที่สุด ก็คือภรรยาของผมเอง “เราเติบโตร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมายาวนานมาก เธอย่อม ‘สะท้อน’ ข้ออ่อนด้อยในตัวผมได้ดีที่สุด “ภรรยาดีก็คือกระจกที่ดี มีความชัดเจนใสกระจ่าง สะท้อนเงาสามีอย่างที่เห็นและเป็นจริง ไม่ใช่บูดเบี้ยวเอาใจ คนเราเวลาออกนอกบ้านต้องส่องกระจกดูเงาตัวเองทุกวัน ถ้าเราดูกระจกบ่อย หวีผมเผ้าได้เรียบร้อย แต่งตัวดูดีฉันใด ภรรยาก็ช่วยเตือนสามีให้เห็นข้อบกพร่อง เห็นสิ่งควรแก้ไขฉันนั้น “คนทำงานยิ่งใหญ่ยิ่งสูง ยิ่งต้องการกระจกเงาที่ซื่อสัตย์ เพราะบางทีเมื่อโตถึงระดับหนึ่ง ความเชื่อมั่นในตัวเองจะแปรเป็นการตั้งมั่นยึดมั่นหรือ Self ว่าข้าถูกที่สุด เลิศที่สุด เจ้า Self นี่มันน่ากลัว หากเบรกไม่ได้ มันจะแสวงหาความพอใจให้ตัวเองด้วยวิธีแปลกๆ อาจโดยการทำลายผู้อื่น ยกยอตัวเอง ข่มทับคน สารพัด ซึ่งก่อความเสียหายให้ครอบครัว คนรอบข้าง จนถึงประเทศชาติ “คุณอ้อทำหน้าที่กระจกเงาชั้นเยี่ยมให้กับผมมาเกือบ 30 ปีแล้ว โดยรู้จักใช้เงานั้นให้เกิดคุณ เติมความแกร่งถมความพร่องให้ผมได้ และรู้ด้วยว่าควรปฏิบัติเช่นไรจึงจะ ‘พอดี’ ไม่โอเวอร์ ไม่เคยก้าวก่ายจนเลยเขตของความเป็น ‘ผู้สนับสนุน’ “ผมยอมรับเลยว่า ผมทำอะไรต้องได้รับการสนับสนุนจากภรรยา ทำการค้า ภรรยาก็ช่วยสร้าง ทำการเมือง ภรรยาก็ต้องเสริม “ผมยกย่องภรรยาเสมอว่า ถ้าไม่มีผู้หญิงชื่อพจมานคนนี้มาเคียงข้าง ความเจริญก้าวหน้าใดๆ ในทุกด้านของผม คงมาไม่ถึงครึ่งทางของวันนี้ หรืออาจไม่ถึง 1/4 ด้วยซ้ำไป “ไม่ต้องแปลกใจเลย หากชีวิตผมในช่วงต่อไป จะมีตัวละครชื่อพจมานมีบทบาทสำคัญอยู่เสมอ” 32 ปีผ่านไปวันนี้ ทักษิณไม่ต้องการกระจกบานนี้อีกต่อไปแล้ว?
ที่มาจากหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์