ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ มีมติเห็นชอบให้ยกเลิกสัมปทานโครงข่ายโทรศัพท์มือถือระบบ 2จี โดยเปลี่ยนเป็นรูปแบบใบอนุญาตแทนสัญญาสัมปทาน ยืนยัน ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนไม่เสียประโยชน์
นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ เกี่ยวกับประเด็นการพัฒนาระบบโครงข่าย 3จี และเงื่อนไขต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ที่จะนำมาซึ่งนโยบายการเปิดให้บริการโครงข่าย 3จี ที่รวดเร็วและมั่นคงโดยให้เกิดความเท่าเทียมและเป็นธรรมอย่างแท้จริง ว่า
ที่ประชุมวันนี้ (19 ก.ค.53) มีมติเห็นชอบกับแนวทางการยกเลิกสัมปทานโครงข่ายโทรศัพท์มือถือระบบ 2จี ให้แล้วเสร็จภายในปีนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับแผนแม่บทการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารฉบับที่ 2 ของประเทศไทย พ.ศ.2552-2556 ที่ระบุว่าให้สัญญาสัมปทานต่างๆ สิ้นสุดลงมีผลในปีนี้ และให้สัญญาสัมปทานต่างๆ ที่ยกเลิกและสิ้นสุดลงแล้ว การดำเนินการต่างๆ จะต้องอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กทช.เท่านั้น พร้อมทำหน้าที่ออกใบอนุญาต 2จี บนคลื่นความถี่เดิมให้กับผู้ประกอบการมือถือต่อไป ขณะเดียวกัน กทช.ก็สามารถเปิดประมูลใบอนุญาต 3จี บนคลื่นความถี่ 2.1 กิ๊กกะเฮิร์ตซ์ ในคราวเดียวกันได้
พร้อมกันนี้ได้แต่งตั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อ สาร หรือไอซีที เป็นประธานการศึกษารายละเอียดในสัญญาสัมปทานเบื้องต้น และพิจารณารูปแบบการประกอบกิจการโทรคมนาคมอย่างเสรีและเป็นธรรม โดยไม่ให้กระทบต่อสัญญาการดำเนินงานของภาคเอกชนและรายได้ของภาครัฐ ให้แล้วเสร็จภายใน 1 เดือนเพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรีและรัฐบาลพิจารณา และจะนำเข้าหารือกับ กทช.ต่อไป
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวด้วยว่า การยกเลิกสัมปทานโครงข่ายโทรศัพท์มือถือ มาเป็นแบบใบอนุญาตภาครัฐจะไม่เสียประโยชน์เพราะจะยึดมูลค่าและส่วนแบ่งราย ได้เท่าเดิมกับมูลค่าของสัมปทาน และในวันพรุ่งนี้ (20 ก.ค.53) จะนำมติที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจเรื่อง 3จี เสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง
ที่มา สำนักข่าวแห่งชาติ
————————————————————————-
กทช.เดินหน้าเปิดประมูล 3 จี
พ.อ.นที ศุกลรัตน์ คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) เปิดเผยว่า การที่รัฐบาลต้องการแปลงสัมปทานโทรศัพท์มือถือ เป็นสิ่งที่ควรทำเพราะมีความพยายามมาหลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ เพียงแต่อย่านำเรื่องแปลงสัมปทานมาเกี่ยวพันกับการประมูล 3 จี เนื่องจากเป็นคนละส่วน
โดยการแปลงสัมปทานเป็นเรื่องของคู่สัญญาระหว่างรัฐวิสาหกิจกับเอกชน ส่วนการประมูล 3 จี เป็นการกำกับดูแลของ กทช. หากนำ 2 เรื่องมาเกี่ยวข้องกันจนการประมูล 3 จี ล่าช้า ก็จะทำไทยเสียโอกาสในการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตแบบไร้สาย เนื่องจากโครงข่ายโทรศัพท์ 3 จี เพียง 1 จุด จะทำให้มีคนใช้อินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นนับพันคน ดังนั้น กทช.จึงยืนยันจะเดินหน้าประมูลในเดือนกันยายนนี้ และเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการทั้งรายเก่าและรายใหม่เข้าร่วมประมูลได้
“กทช.มั่นใจว่า กระบวนการประมูลได้ดำเนินมาอย่างถูกต้อง ไม่ถูกฟ้องแน่นอน และเชื่อว่ารัฐบาลไม่มีนโยบายให้ล่าช้า อีกทั้งการแปลงสัมปทานต้องใช้เวลานานกว่าจะสำเร็จ ในขณะที่การประมูล 3 จี กำลังจะลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา จากนั้นจะใช้เวลาเชิญชวนเอกชนเข้าร่วมประมูลภายใน 30 วัน” พ.อ.นที กล่าว
ส่วนกรณีที่รัฐบาลมีแนวคิดให้แปลงสัมปทานเป็นรูปแบบใบอนุญาต โดยให้ทุกรายมีอายุใบอนุญาตเท่ากันทั้งหมด 15 ปีนั้น ตาม พ.ร.บ.ประกอบกิจการโทรคมนาคม ไม่สามารถทำได้ เนื่องจากมาตรา 80 วรรค 4 ให้อำนาจ กทช.ออกใบอนุญาตให้ผู้ประกอบการรายเดิม (2 จี) ได้ไม่เกินอายุสัมปทานที่เหลือเท่านั้น ซึ่งขณะนี้ทรูมูฟเหลืออายุสัมปทานอีก 3 ปี เอไอเอสเหลืออีก 5 ปี ส่วนดีแทคเหลือ 8 ปี
พ.อ.นที กล่าวด้วยว่า กทช.จะเปิดประมูลพร้อมกัน 3 ใบอนุญาต (ไลเซ่นส์) ด้วยคลื่นความถี่ 15 เมกะเฮิร์ตซ์ ต่อ 1 ไลเซ่นส์ ราคาประมูลเริ่มต้นที่ 12,800 ล้านบาท ซึ่งผู้ชนะประมูลต้องจ่ายค่าธรรมเนียมใบอนุญาตร้อยละ 2 ต่อปี และส่งเงินเข้ากองทุนพัฒนาโทรคมนาคมพื้นฐานอีกร้อยละ 4 ต่อปี อย่างไรก็ตาม หากทราบราคาประมูลที่ชัดเจนแล้ว คาดว่าเอกชนจะต้องจ่ายเงินรายได้เข้ารัฐผ่าน กทช.ราวร้อยละ 12-13 ต่อปี อีกทั้งต้องใช้เวลาขยายโครงข่ายให้บริการครอบคลุมพื้นที่ร้อยละ 80 ของประชากรภายใน 4 ปี.
ที่มา สำนักข่าวไทย
MThai